ค.ศ. 2014 คือปีที่ Apple มีความเคลื่อนไหวน่าสนใจหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการเปิดตัว Apple Watch ไลน์สินค้าใหม่ตัวแรกของบริษัทภายใต้การนำของซีอีโอ Tim Cook และ iPhone 6 Plus ที่มีขนาดจอใหญ่มากเป็นพิเศษ ตลอดจนการจับมือกับคู่ปรับเก่าอย่าง IBM ในการนำโลกธุรกิจให้เข้ามาอยู่ในจักรวาลของ iDevice เป็นต้น ความเคลื่อนไหวต่างๆ เกิดขึ้นอย่างช้าๆ แต่ล้วนมีความสำคัญ เพราะมันเป็นการแสดงให้เห็นทิศทางของบริษัทที่จะส่งผลอย่างเป็นรูปธรรมในอีกไม่กี่ปีข้างหน้านี้
ขณะที่ผมเขียนบทความนี้อยู่ Apple เพิ่งเสร็จจากการจัดงานแถลงข่าว Spring Forward อันมีสาระสำคัญที่การประกาศตัว (อีกครั้ง) ของ Apple Watch ที่ได้เปิดโอกาสให้สื่อมวลชนได้ลองใช้งานเป็นครั้งแรก (งานปีที่แล้วเป็นการเปิดตัวเฉยๆ) และการกลับมาอีกครั้งของ MacBook (เฉยๆ ไม่มี Air หรือ Pro ต่อท้าย) แม้จะมีเพียงสองผลิตภัณฑ์หลักในงาน แต่กล่าวได้ว่าทั้งคู่ได้นำเสนอแนวคิดที่น่าสนใจให้กับตลาดไอทีได้เป็นอย่าง มากเลยทีเดียว
Apple Watch เมื่อ Apple ก้าวเข้าสู่โลกแห่งแฟชั่น
การมาถึงของ Google Glass ได้สร้างแรงกระเพื่อมครั้งสำคัญให้กับวงการเทคโนโลยี สื่อหลายสำนักต่างยกย่องให้มันเป็น “ผลิตภัณฑ์นวัตกรรมแห่งปี” เวทีแคทวอล์คหลายแห่งคลาคล่ำไปด้วยนางแบบใส่แว่นไฮเทคเดินเฉิดฉาย นิตยสารแฟชั่นต่างลงภาพถ่ายสุด “คูล” ของนายแบบพร้อม Glass ราวกับว่ามันคือผู้ที่จะมากำหนดเทรนด์แห่งโลกอนาคต จึงทำให้มีอยู่ช่วงหนึ่งที่ดูเหมือนว่าจะไม่มีอะไรมาหยุดความร้อนแรงของมัน ได้อีกแล้ว
แต่สิ่งที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เมื่อต้นปีที่ผ่านมา Google ประกาศปิดตัว Explorer Program ของ Glass ที่เปิดโอกาสให้นักพัฒนาซื้ออุปกรณ์ดังกล่าวไปทดลองใช้งานและพัฒนาแอพฯ แม้ว่าการประกาศดังกล่าวจะยังไม่ใช่จุดจบของ Glass ซะทีเดียว แต่ก็เป็นที่ทราบกันว่ามันหมายถึงการที่ Google ต้องกลับไปคิดใหม่ทำใหม่กับแว่นไฮเทค เพราะนอกจากบรรดา Early Adopter หรือพวก Geek แล้ว มันไม่ได้รับการตอบรับที่ดีจากสาธารณชนเลย บ้างก็ว่ามันทำให้คนใส่ดู “เนิร์ด” เหมือนหุ่นยนต์ หรือปัญหาการละเมิดพื้นที่ส่วนบุคคลจากการแอบถ่าย จนทำให้ผับ ร้านอาหาร หรือโรงหนังหลายแห่งพากันห้ามไม่ให้สวมแว่นดังกล่าวขณะใช้บริการ
แล้วมันเกี่ยวอะไรกับ Apple Watch? กรณีศึกษาของ Glass ชี้ให้เห็นว่าอุปกรณ์คอมพิวเตอร์สวมใส่ต้องมอบคุณค่าบางอย่างให้กับผู้ใช้ นอกไปจากความสามารถสุดล้ำ (ที่ทุกแกดเจ็ตต้องมีอยู่แล้ว) เมื่อสำรวจดูสเป็กจะเห็นได้ว่า ความสามารถของ Apple Watch แทบจะไม่มีความแตกต่างไปจากสมาร์ทวอทช์ตัวอื่น มันสามารถใช้ดูเวลา โดยผู้ใช้สามารถเปลี่ยนหน้าปัดตามใจชอบ ส่งข้อความ และอ่านอีเมล ส่วนฟังก์ชั่นเอาใจคอสุขภาพก็สามารถนำเสนอภาพรวมของกิจกรรมการออกกำลังกาย ของผู้ใช้ ไม่ว่าจะเป็นปริมาณแคลอรี่ที่ได้รับการเผาผลาญ ระยะทางที่วิ่งหรือเดิน ตลอดจนฟังก์ชั่นที่จะเตือนผู้ใช้เมื่อตรวจพบว่านั่งนานเกินไป แน่นอนมันยังได้รับการเปิดตัวพร้อมกับแอพฯ จากนักพัฒนาต่างๆ เช่น Uber ที่ผู้ใช้สามารถเรียกรถได้จากข้อมือ หรือเช็กอินขึ้นเครื่องโดยใช้แอพฯ Passbook ตลอดจนดูภาพเพื่อนๆ จาก Instagram เป็นต้น
ฉบับที่ 196 เดือนเมษายนซื้อ-ขายใน AEC+6 ด้วยโมบายล์ |
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ Apple ให้ความสำคัญมากไม่แพ้กันก็คือ งานออกแบบเพื่อให้สอดรับกับพฤติกรรมการใช้งานนาฬิกาข้อมือของคนทั่วไปที่อาจ มีความแตกต่างกัน จึงได้ตัดสินใจพัฒนาออกเป็น 3 เวอร์ชั่น โดยแต่ละเวอร์ชั่นประกอบไปด้วยหน้าปัดสี่เหลี่ยมขนาด 38 และ 42 มิลลิเมตร เริ่มจาก Apple Watch Sport ที่ตัวเรือนทำมาจากอะลูมิเนียมน้ำหนักเบาเพื่อให้เหมาะกับไลฟ์สไตล์แอ็คทีฟ ของคนรุ่นใหม่ โดยมีราคาเริ่มต้นที่ 349 เหรียญสหรัฐ (ราว 11,000 บาท) สำหรับหน้าปัด 38 มิลลิเมตร และ 399 เหรียญ (ราว 13,000 บาท) สำหรับหน้าปัด 42 มิลลิเมตร ลำดับถัดมาคือ Apple Watch (เฉยๆ) ที่ออกแบบโดยมีเหล็กกล้าไร้สนิม (Stainless Steel) เป็นส่วนประกอบหลักของตัวเรือน โดยมีราคาเริ่มต้นที่ 549 เหรียญ (ราว 18,000 บาท) ไปจนถึง 1,099 เหรียญ (ราว 36,000 บาท) และ Apple Watch Edition ที่มีส่วนประกอบของโลหะผสมทองคำ 18 กะรัต ซึ่งมีราคาเริ่มต้นตั้งแต่ 10,000 เหรียญ (ราว 338,000 บาท) เป็นต้นไป แน่นอนว่าผู้ใช้ยังสามารถผสมผสานหน้าปัดเข้ากับสายนาฬิกาที่หลากหลาย ซึ่งที่ Apple ทำออกขายเองก็มีราคาตั้งแต่ไม่กี่พันบาทไปจนถึงหลักหมื่น เห็นได้ว่าผู้ใช้ต้องมีงบประมาณมากพอดูก่อนที่จะเป็นเจ้าของได้สักเรือน
Apple ไม่ได้ให้ความสำคัญกับประสิทธิภาพเท่าใดนัก แต่กลับทำให้ผู้ชมลุ่มหลงกับงานออกแบบชั้นครูด้วยการนำชมส่วนต่างๆ ของ MacBook ราวกับว่ามันไม่ใช่โน้ตบุ๊กหรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ แต่คือเครื่องประดับบารมีของผู้ใช้เช่นเดียวกับอุปกรณ์พกพาอื่นของบริษัท
ตั้งแต่วันที่ 10 เมษายนนี้ผู้ใช้ในออสเตรเลีย แคนาดา จีน ฝรั่งเศส เยอรมนี ฮ่องกง ญี่ปุ่น สหราชอาณาจักร และสหรัฐอเมริกา สามารถสั่งจองเป็นเจ้าของ Apple Watch ได้ก่อนที่จะเริ่มขายจริงวันที่ 24 เดือนเดียวกัน สำหรับประเทศไทยนั้นยังไม่ทราบกำหนดวันวางจำหน่ายแต่อย่างใดขณะที่เขียน บทความนี้อยู่
แต่ประเด็นที่น่าสนใจคือในวันที่ 10 นั้นนอกจากผู้บริโภคในประเทศดังกล่าวจะสามารถสั่งจองได้แล้ว ก็ยังสามารถเดินเข้าไปทดลองใช้งานได้จริงที่ร้าน Apple Store ใกล้บ้าน โดยที่พนักงานในร้านจะคอยแนะนำการใช้งาน ตลอดจนเวอร์ชั่นของ Apple Watch ที่เหมาะสมกับผู้ใช้โดยดูจากบุคลิกและความชอบของลูกค้า เช่นเดียวกับพนักงานประจำร้านแบรนด์หรูต่างๆ ที่สามารถเป็นแฟชั่นกูรูให้กับผู้เข้ามาเยี่ยมชมได้นั่นเอง
Macbook ใหม่ เรียบหรู คู่บารมี
นอกจากสมาร์ทวอทช์ Apple ยังได้นำเสนอ MacBook ใหม่ที่มีรูปร่างหน้าตาคล้ายกับเครื่องประดับมากขึ้น โน้ตบุ๊กดังกล่าวได้รับการออกแบบใหม่หมดตั้งแต่เริ่มโดยมีน้ำหนักเพียง 907 กรัม และบางเพียง 13.1 มิลลิเมตร ส่งผลให้มันเป็นแม็คที่บางและเบาที่สุดเท่าที่ได้มีการคิดขึ้นมา
MacBook ดังกล่าวมีขนาดหน้าจอ 12 นิ้ว แบบเรตินา ทำให้ภาพที่ได้มีความคมชัด พร้อมกับเสริมทัพด้วยคีย์บอร์ดที่ได้รับการออกแบบใหม่ให้มีความบางและความ แม่นยำขณะใช้งานมากขึ้น นอกจากนี้ แทร็คแพดยังถูกอัพเกรดด้วยเทคโนโลยี Force Touch ช่วยเพิ่มมิติใหม่ให้กับการใช้งาน โดยผู้ใช้จะรู้สึกได้ถึงแรงสั่นสะท้อนกลับเมื่อสัมผัสและรองรับท่าทาง (Gesture) การใช้งานได้มากขึ้น ที่สำคัญคือ Apple ได้ถอดบรรดาพอร์ตต่างๆ ออกหมดจนเหลือเพียง USB-C ซึ่งเป็นพอร์ตชนิดใหม่สำหรับชาร์จไฟกับเชื่อมกับหัวแปลงเพื่อใช้งานพอร์ต ลักษณะอื่น และช่องเสียบหูฟังเท่านั้น! อีกทั้งแบตเตอรี่และเมนบอร์ดภายในก็ยังถูกออกแบบใหม่เพื่อให้ได้บอดี้ที่บาง และเบามากอีกด้วย
จุดที่น่าสนใจคือ MacBook วางขายด้วยกันทั้งหมด 3 สีคือ ทอง เงิน และเทา ซึ่งเป็นสีเดียวกับ iDevice อื่น ความเหมือนกันเช่นนี้อาจไม่ใช่ความบังเอิญ เพราะหากดูวิดีโอเปิดตัวก็พอจะสังเกตได้ว่า Apple ไม่ได้ให้ความสำคัญกับประสิทธิภาพเท่าใดนัก แต่กลับทำให้ผู้ชมลุ่มหลงกับงานออกแบบชั้นครูด้วยการนำชมส่วนต่างๆ ของ MacBook ราวกับว่ามันไม่ใช่โน้ตบุ๊กหรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ แต่คือเครื่องประดับบารมีของผู้ใช้เช่นเดียวกับอุปกรณ์พกพาอื่นของบริษัท ที่ซึ่งสามารถเรียกร้องความสนใจให้กับผู้ที่หยิบมันออกมาใช้ได้เป็นอย่างดี
สรุป
งานเปิดตัว Apple Watch และ MacBook ดังกล่าวชวนให้คิดได้ว่า Apple อาจกำลังคืบคลานเข้ามาสู่โลกของแฟชั่นอย่างช้าๆ โดยสังเกตได้ว่าทางบริษัทได้ให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่งกับการงานออกแบบผลิตภัณฑ์ทั้งสองให้มีความโดดเด่นและมอบคุณค่าบางอย่างหรือความภาคภูมิใจที่ได้เป็นเจ้าของ ซึ่งฟิลลิ่งดังกล่าวยังไม่เคยมีบริษัทเทคโนโลยีที่ไหนสามารถทำได้มาก่อน
คาดกันว่า สาเหตุที่ Apple เริ่มผันตัวเองมาสู่ถนนแคทวอล์คนั่นก็เพราะการให้ความสำคัญกับเทคโนโลยีอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอแล้วสำหรับการแข่งขันในยุคนี้ ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ ตลาดสมาร์ทโฟนที่กำลังถูกแบรนด์จากจีนที่สามารถผลิตของดีราคาถูกมากินส่วนแบ่งตลาดได้อย่างง่ายดายโดยใช้เวลาไม่กี่ปีจนทำให้ยักษ์ใหญ่อย่าง Samsung กำลังเซไม่เป็นท่าอยู่ในตอนนี้
เพราะฉะนั้นการที่จะทำให้ลูกค้าเกิดความภักดีในระยะยาวคงไม่มีทางอื่นนอกจากการคิดต่างอย่างสร้างสรรค์และสามารถนำมาใช้งานได้จริง นอกเหนือไปจากการช่วยอำนวยความสะดวกต่อผู้ใช้ซึ่งเป็นเป้าหมายหลักของแกดเจ็ตทั้งปวง ไม่เช่นนั้นก็คงค่อยๆ ถูกคู่แข่งกลืนกินไปอย่างช้าๆ
Contributor
falcon_mach_v
สรนาถ รัตนโรจน์มงคล
จบการศึกษาระดับปริญญาตรีจากคณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ รหัส 48 และปริญญาโทจากคณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย รหัส 55 ปัจจุบันประกอบอาชีพที่ไม่เกี่ยวกับด้านไอที แต่ด้วยความชอบจึงได้มีงานเขียนบทความเกี่ยวกับเรื่องนี้เสมอ สามารถติดตามอ่านได้ที่ www.bitwiredblog.com และชมเว็บไซต์ผลงานภาพถ่ายได้ที่ http://iviewphoto.me
Facebook: sorranart
Website: ontechz.blogspot.com