การขอ Likes ของเรานั้น ไม่ใช่เรื่องน่าเกลียดอะไรหรอกครับ ขอได้และบางคนก็ยินดีที่จะให้ เพราะว่ามันไม่ใช่ความลับ นั่นคือข้อดีของการทำแคมเปญการตลาดผ่านแอพพลิเคชั่นรูปแบบนี้ครับ เน้นทำ Mini Campaign เชื่อมโยงซะก็เป็นอันจบได้ข้อมูลผู้ใช้ E-mail และรายการเพจที่พวกเขา Like กันอีกต่างหาก
แต่โดยส่วนตัวแล้ว การที่ขอ Likes ของเราไปนั้น ผู้พัฒนาแอพ-พลิเคชั่นเขามีจุดประสงค์ครับ นั่นคือการทำ Targeting User Groups เพราะ Likes แต่ละเพจของเราจะมี Categories หรือหมวดหมู่แบ่งแยกย่อยมากมายทำให้เค้าได้ข้อมูลเชิงลึกของเรา เกี่ยวกับความชอบของเราไปเพื่อไปทำ Data Minding หรือเหมืองข้อมูลสำหรับวิเคราะห์รูปแบบ และแบ่งกลุ่มของผู้บริโภคออกเป็นระเบียบเพื่อง่ายต่อการทำโฆษณา หรือการตลาดในภายหลัง
จะว่าไปให้พูดตรงๆ ก็คือ แค่คุณหยิบมือถือมาเล่นแอพพลิเคชั่นที่มีการเชื่อมต่อ Facebook API, Line API หรือ Google API คุณก็ได้ตกเป็นกลุ่มตัวอย่างสำหรับวิเคราะห์การตลาดให้กับผู้พัฒนาแอพพลิเคชั่นเรียบร้อยครับในคลิกแรกคลิกเดียว สั้นๆ คือเป็นเครื่องมือการตลาดให้คนอื่นครับ
และสิ่งที่ใช้เครื่องมือนี้กับข้อมูลของเราที่ถูกดูดไปมากที่สุดก็คือ Display Ads Network ของ Google, Facebook ‘s Mobile App Install Ads บนมือถือ เป็นต้นครับ ที่น่าสนใจก็คงจะเป็น Facebook ‘s Mobile App Install Ads ครับ เนื่องจากเมื่อเราทำการได้ข้อมูล Likes ของผู้บริโภคจากแคมเปญดังๆ เล่นๆ กันไปแล้วก็จะเป็นการ Target ตัวแอพพลิเคชั่นให้ปรากฏได้ตรงตาม Target Audience หรือตรงกลุ่มผู้บริโภค มองดูๆ แล้วจะเห็นว่ามันก็เป็นการ Optimize Ads ได้ดีทีเดียว ถ้าเทียบกับกรณีศึกษาแรกของ Video Ads ใช่ครับ แต่ในเชิงการได้มาซึ่งข้อมูลแล้ว ถ้าทำสร้างสรรค์ก็ดีไปครับ แต่ถ้าทำเล่นๆ ขำๆ หลอกหล่อให้เล่นเป็นกระแสแล้วดูดข้อมูลไป อันนี้ก็ขัดใจผู้บริโภคประมาณหนึ่งโดยเฉพาะคนแบบผม แต่ใครจะห้ามกระแสของแอพพลิเคชั่น พวกนี้ได้ล่ะว่าไหมครับ เห็นเล่นก็ไปกันหมดตามกระแส แม้จะมีบทความให้ศึกษาเรื่องเหล่านี้มากมายในอินเทอร์เน็ตก็ตามทีเถอะ
![]() |
ฉบับที่ 199 เดือนกรกฏาคมYouTuber นักสร้างสรรค์โฆษณาดิจิตอล |
กรณีศึกษา Interactive Ads ร่วมกับ Mobile Marketing เกิดเป็น CRM เจ็บ
การทำโฆษณาให้มีการ Interact กับผู้ใช้งานแอพพลิคชั่น เหมือนกับ Rich Media และ Smart Ads ราคาแพงๆ ที่นั่งคิดแล้วคิดอีกเหมือนเมื่อก่อน เริ่มเปลี่ยนไปครับ เมื่อเทคโนโลยีสมัยนี้เริ่มฉลาดขึ้นสวนทางกับราคาที่เริ่มพอคุ้มค่าสำหรับทำแคมเปญใหญ่ๆ สำหรับแบรนด์ที่เงินหนา หรือหากมี Connection หรือ Sponsors ดีๆ อาจจะใช้กรณีศึกษานี้ช่วยการตลาดผ่าน Mobile และ Interactive Ads ได้ครับ
กรณีศึกษาที่ยกมาให้นี้คือ แคมเปญ Interactive DOOH campaign ในลอนดอน สำหรับ International Women’s Day ผ่าน Message ที่เขียนว่า “Look At Me” บนป้ายบิลบอร์ด Out of Home เกี่ยวกับการรณรงค์ที่เพศหญิงถูกทำร้าย มองเผินๆ ดูเป็นการตลาดออฟไลน์หรือ Tranditional Marketing มาเปลี่ยนใหม่โดยเพิ่มรูปลักษณ์ความไฮเทคด้วยเทคโนโลยี Face Recognition เพื่อตรวจจับใบหน้าคนที่เดินผ่านไปมาให้แหงนหน้าขึ้นมามอง ก็จะเป็นกราฟิกครอบรูปใบหน้าของคนคนนั้นปรากฏบนจอภาพ พร้อมกับสร้างการรับรู้ให้ Donate หรือบริจาคเงินสนับสนุน 5 ปอนด์ผ่าน Mobile พร้อมข้อความขอบคุณ และรับข้อมูลไปทำ CRM ต่อไป เป็นการสร้าง Brand Awareness ผ่าน Tranditional และ Digital บน Mobile ได้เจ็บจริงอะไรจริง เพราะที่เจ็บที่สุดคือ การประชดประชันเหน็บกัดเล็กน้อยถึงปานกลางกับคนยุคนี้ก็เดินก้มหน้ากดโทรศัพท์ไปมาให้แหงนหน้ามาขึ้นมาดูอะไรๆ ซะบ้างครับ แต่ข้อเสียก็คงจะมีเพียงอย่างเดียวคือต้องลงทุนที่เยอะ แต่ถ้า Content และระบบการนำเสนอ พร้อม Message เจ็บๆ ก็น่าจะคุ้มทุนที่ลงไปครับ
จะเห็นว่า กรณีศึกษาทั้งหมดที่ผมยกตัวอย่างมาให้นั้น ล้วนแล้วแต่มีทั้งข้อดี และข้อเสียปรากฏขึ้นให้เราได้เก็บไว้เป็นแหล่งอ้างอิง และปรับปรุงแก้ไข อย่างมากเพียงจำข้อสรุปส่วนนี้ไว้ให้ดีก็พอครับว่า
ผู้บริโภคล้วนต้องการความเป็นส่วนตัวบนโลกออนไลน์หรือ Social Network แต่ผู้บริโภคก็มักจะให้ข้อมูลส่วนตัวทั้งหลายเป็นเครื่องมือการตลาดแก่นักการตลาด และพัฒนาแอพพลิเคชั่นที่หา Content กวนๆ มันๆ สร้างกระแส ไปโดยฟรีๆ แบบไม่คิดอะไรเลย
Digital CRM และ Big Campaign Marketing มักจะต้องมาพร้อมกับแคมเปญใหญ่ๆ และเห็นได้ทั่วถึงในที่สาธารณะ และมีความเป็นไฮเทคสูง และขอให้เชื่อมโยงกับสมาร์ทโฟนในมือของคนที่เดินผ่านไปมาได้เป็นพอ
อย่าเชื่อใจในรายงาน หรือ Report ของเอเยนซี่หรือการตลาดเกี่ยวกับ Display Ads Network ที่ไม่ได้ทำการ Optimized Ads เพราะมันอาจจะได้ตัวเลขสวยๆ ที่มาจาก View หรือยอดการเข้าชมและมองเห็นจริง แต่เราจะไม่รู้เลยว่ามันไปปรากฏที่ไหนบ้างจนกว่าจะพบมันซะเอง และเวลาพบก็น่าจะตกใจมากๆ เตรียมคำตอบไว้ตอบกลับเอเยนซีได้เลย ถ้าพวกเขามาแก้ตัวว่า “ป่วยการครับที่จะมารดน้ำต้นไม้ตอนที่มันตายไปแล้ว”
Contributor
บัญญพนต์ พูนสวัสดิ์
อาจารย์ประจำสาขาการออกแบบเชิงโต้ตอบและการพัฒนาเกม คณะเทคโนโลยีสารสนเทศ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์,นักเทคโนโลยีการศึกษา ชำนาญการด้าน Blended Learning และ Game-Based Learning ควบตำแหน่งกรรมการผู้จัดการบริษัท เดย์เดฟ จำกัด ที่ปรึกษาด้านธุรกิจดิจิทัลด้วยประสบการณ์ในสายงานมากกว่า 10 ปี
Facebook: banyapon
Website: www.daydev.com