7 แนวคิด จาก แจ๊ค หม่า ไม่ขอให้ทุกคนอยู่สบาย แต่ขอให้ทุกคนอยู่รอดต่อไป

ผู้เขียนขอหยิบการกล่าวปาฐกฐาของ แจ๊ค หม่า เศรษฐีไอทีจีน ผู้นำอีคอมเมิร์ซจีนเข้าสู่ตลาดหุ้นนิวยอร์ก ที่ได้กล่าวไว้ในงานประชุมประจำปีของผู้ประกอบการจีน ณ มณฑลเจ้อเจียง เมื่อต้นปีที่ผ่านมา

แจ๊ค หม่า เศรษฐีไอทีจีน ผู้นำอีคอมเมิร์ซจีนเข้าสู่ตลาดหุ้นนิวยอร์ก

แจ๊ค หม่า เศรษฐีไอทีจีน ผู้นำอีคอมเมิร์ซจีนเข้าสู่ตลาดหุ้นนิวยอร์ก

มณฑลเจ้อเจียง อยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศจีน ปัจจุบันเป็นแหล่งการค้าส่งขนาดใหญ่ มีท่าเรือขนส่งสินค้าที่เป็นอันดับต้นๆ ของโลก มีอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น ที่สำคัญ ยังเป็นที่ตั้งของสำนักงานใหญ่ Alibaba

แจ๊ค หม่า นั้นเกิดและเติบโตที่มณฆลเจ้อเจียง เขาสนับสนุนผู้ประกอบการชาวเจ้อเจียงให้ใช้อินเทอร์เน็ตเพื่อพัฒนาธุรกิจ และเชื่อมั่นว่า มณฑลเจ้อเจียงจะมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศจีน

1. ยามเศรษฐกิจแย่ แต่ก็มีธุรกิจที่เติบโต
คนเรามักชอบคิดไปก่อนว่าจะต้องเจออุปสรรคใดบ้างในการดำเนินธุรกิจ และถึงแม้จริงๆ ก็เป็นเช่นนั้น ที่ธุรกิจใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นจะประสบความสำเร็จมากกว่า แต่หากทำใจได้ว่าเมื่อทำธุรกิจก็จะต้องเจอกับปัญหาและอุปสรรคตลอดเวลา นั้นถึงเรียกว่าเป็น “การคิดบวก” โดยจะคิดอยู่ในหลักความเป็นจริงว่า หากเศรษฐกิจในอีก 3 – 5 ปีนี้จะยังไม่ดีขึ้น แต่อีก 5 – 15 ปีถัดไป เศรษฐกิจจีนจะต้องมีโอกาสกลับมาเติบโตอีกครั้ง

ธุรกิจที่สามารถทำกำไรได้ในยามที่เศรษฐกิจดีไม่นับว่าเป็นผู้ประกอบการที่ประสบความสำเร็จ เพราะยามที่ตลาดหุ้นกำลังขึ้น แม้แต่อาม่าขายผักที่ตลาดก็สามารถทำกำไรได้ เมื่อนั้นนักลงทุนที่สามารถทำกำไรได้ก็เป็นแค่ “นักเล่นหุ้น” เพราะธุรกิจที่สามารถเติบโตได้ในช่วงที่เศรษฐกิจย่ำแย่เท่านั้น ที่จะพิสูจน์ได้ว่าคือ “ธุรกิจเทพ” ตัวจริง

ธุรกิจที่ประสบความสำเร็จมักจะมีความผิดพลาดอยู่เบื้องหลังเสมอ หากไม่เกิดจากตัวเองทำตัวเอง ก็เกิดเพราะผลกระทบจากเศรษฐกิจ ดังนั้น ธุรกิจที่สามารถอยู่รอดได้ในยามวิกฤติเท่านั้น ถึงเรียกว่ามี “ภูมิคุ้มกัน”

การที่บรรดานักเศรษฐศาสตร์จีน กล่าวว่า ธุรกิจจีนในระยะสั้นจะมีแรงกดดันจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจ ซึ่งประเมินแล้วว่าจริงๆ เศรษฐกิจจีนคงต้องชะลอตัวในระยะยาว ดังนั้น ผู้ประกอบการต้องเรียนรู้ปรับตัวให้เข้ากับสภาพ เพราะนับจากนี้ไปอีก 20 ปี ถ้ายังสามารถรักษาการเติบโตของธุรกิจได้ 2 – 4 เปอร์เซ็นต์ ต่อปี ก็ถือว่ายอดเยี่ยมมากแล้ว อีกทั้งระบบเศรษฐกิจจีนใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก หากมัวแต่คิดจะรักษาให้ GDP เติบโตที่ปีละ 15 เปอร์เซ็นต์ จะต้องเกิดปัญหาในภายหลังอย่างแน่นอน

ไม่ว่าธุรกิจจะโต 2 – 4 เปอร์เซ็นต์ต่อปี หรือจะสามารถบริหารได้ 200 – 300 เปอร์เซ็นต์ต่อปี แต่ยังคงมีธุรกิจที่ไม่มีการเติบโตเลยแม้เศรษฐกิจจะดีมาก ดังนั้น เศรษฐกิจจะดีหรือแย่ ก็ไม่ใช่เครื่องการันตีว่าผู้ประกอบการจะบริหารธุรกิจได้สำเร็จ เช่นนั้นเอง หากธุรกิจตนเองไม่ประสบความสำเร็จก็ไม่ควรโทษสภาพเศรษฐกิจ เพราะในยามที่เศรษฐกิจไม่ดี ก็มีธุรกิจที่ดำเนินไปได้ดีอยู่ และธุรกิจที่เติบโตไปไม่ดีก็มีเช่นกัน

2. ธุรกิจจีนจะต้องขยายไปสู่ธุรกิจระดับโลก
ช่วงปี 2015 มีการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นของประเทศจีน อย่างนโยบายลูกสองคน และเงินหยวนเข้าสู่สกุลเงินหลักสากล แต่ยังมีอีกหลายเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้น สิ่งที่ต้องเตรียมตัวคือ หาทางรับมือกับเหตุการณ์ที่ไม่ได้คาดคิดเหล่านั้น

ที่ผ่านมา ทุกคนมองว่า Alibaba เป็นธุรกิจที่ประสบความสำเร็จมาก ความจริงแล้ว Alibaba ก็เป็นเพียงธุรกิจธรรมดาๆ ประเภทหนึ่ง โดย 16 ปีก่อน ได้ตั้งเป้าหมายสู่การเป็นเว็บไซต์ใหญ่ติดอันดับ 1 ใน 10 ของโลก ทั้งที่ ณ เวลานั้น Alibaba ไม่ติด 1 ใน 2 ล้านอันดับด้วยซ้ำ พอตั้งเป้าหมายแบบนั้น ก็โดนหาว่า “บ้า” แต่ Alibaba ก็ล้มลุกคลุกคลาน บัดนี้ เป้าหมายที่ตั้งไว้ตอนนั้นก็สำเร็จ เรียกว่า “ประสบผลสำเร็จ” ก็ไม่ใช่เพื่ออวดอ้างว่า “Alibaba เจ๋ง” แต่เพราะ Alibaba ทำธุรกิจในยุคที่มีความพิเศษเฉพาะ นี่ไม่ใช่การพูดลอยๆ แต่ Alibaba ขอขอบคุณประเทศจีนอย่างลึกซึ้ง ขอบคุณการปฏิวัติเปิดประเทศ ขอบคุณที่มีระบบอินเทอร์เน็ตเกิดขึ้น ขอบคุณคนรุ่นใหม่ เพราะถ้าไม่มีสิ่งเหล่านี้ ความฝันของ Alibaba ก็คงเป็นเพียงแค่ฝันกลางวัน

ทุกวันนี้ ประเทศที่มีการเปลี่ยนแปลงมากที่สุดของโลกก็น่าจะเป็น “ประเทศจีน” ทั้งการปฏิวัติ การอัพเดตระบบใหม่ การสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่เหล่านี้ยิ่งใหญ่ เฉพาะอย่างยิ่งการมีระบบเศรษฐกิจที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก ที่ถือเป็นโอกาสมหาศาลของนักธุรกิจจีน เพียงแต่น้อยคนนักที่จะมองเห็นโอกาสนี้

ทั้งนี้ ประเทศจีนมีระบบเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก แต่หากเปรียบเทียบกับประเทศอเมริกาที่มีระบบเศรษฐกิจใหญ่อันดับ 1 หรือเปรียบกับประเทศในยุโรป และญี่ปุ่น ในด้านการผลิตสินค้าคุณภาพ เปรียบด้านจำนวนสินค้า ความเป็นมาตรฐานสากล หรืออัตลักษณ์ ก็ยังนับว่าเทียบชั้นประเทศเหล่านั้นไม่ได้

เฉกเช่นเดียวกับ World Cup Game ทีมฟุตบอลชาติจีนฟลุคเข้ารอบ ทั้งที่ความสามารถนักเตะจีนก็ยังไม่เก่งพอ แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม การมีระบบเศรษฐกิจที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก ธุรกิจจีนก็จะต้องมุ่งขยายสู่ตลาดโลกอย่างแน่นอน

tech1-2

การสร้างสรรค์นวัตกรรมก็เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาหนึ่งเท่านั้น สำหรับยุคสร้างสรรค์ของ แจ๊ค หม่า อาจมีระยะเวลาเพียงแค่ 3 ปี หรือ 5 ปี แต่ว่าการที่ทุ่มกำลังเพื่อสร้างสรรค์ตลอดมานั้น ทำให้เกิดผลลัพธ์ที่ประสบความสำเร็จเหนือความคาดหมาย

3. ตามทันยุคสมัย เข้าใจสถานการณ์ในประเทศ
การปฏิวัติเปิดประเทศจีนในช่วงระยะเวลา 30 ปีที่ผ่านมา มีธุรกิจจีนที่อยู่รอดมาตลอดทั้ง 30 ปี ได้มากน้อยขนาดไหน เพราะหากอยากให้ตนเองกลายเป็นระบบเศรษฐกิจหลักที่ใหญ่ยาวนาน อย่างน้อยก็ต้องใช้เวลา 50 ปีขึ้นไป เพราะมีแต่ธุรกิจที่ยืนหยัดได้เกิน 50 ปีเท่านั้น ที่ถือเป็นธุรกิจแข่งแกร็ง และต้องสามารถเปลี่ยนทุกวิกฤตการณ์ให้กลายเป็นโอกาสในการทำธุรกิจได้

วันนี้ทุกคนต่างก็พูดถึงประเด็น “การคิดค้นสิ่งใหม่ การสร้างสรรค์” ณ ตอนนี้ ประเทศจีนเป็นยุคที่ตลอด 1,000 ปีที่ผ่านมา ก็ไม่เคยพบเห็นมาก่อน เกิดระบบอินเทอร์เน็ตขึ้น ซึ่งผู้ประกอบการจะสามารถประยุกต์โอกาสนี้ได้มากน้อยแค่ไหน

การจะเป็นธุรกิจเทพได้ก็ต้องทำความเข้าใจความเป็นไปของยุคสมัยให้ถ่องแท้ ต้องอ่านสถานการณ์ของประเทศตนเองให้ออก มีแค่ธุรกิจที่สามารถเข้าใจตัวเองอย่างแท้จริง ว่ามีอะไรดี ต้องการอะไร เมื่อไรที่ควรเดินหน้าหรือถอยหลัง ธุรกิจเหล่านี้เท่านั้นที่จะสามารถดำเนินงานไปได้อย่างยาวนาน ผู้ประกอบการทั่วไปมักรู้แค่ว่าตนเองต้องการอะไร แต่กลับไม่มีสติปัญญา เพราะสติปัญญาเท่านั้นที่จะบอกเราได้ว่า อะไรที่เราไม่จำเป็นต้องได้

ยุคนี้เป็นการปฏิวัติของผู้ประกอบธุรกิจอย่างแท้จริง การเปลี่ยนแปลงของวงการธุรกิจที่เกิดขึ้น แต่ละคนก็ตัดสินผลลัพธ์ไม่เหมือนกัน บางคนมองการเปลี่ยนแปลงว่าเป็นอุปสรรค แต่บางคนเปลี่ยนวิกฤติให้เป็นโอกาส แท้จริงแล้วโอกาสที่ยังไม่ได้กลายเป็นโอกาส ถือว่าเป็นโอกาสที่แท้จริง เพราะเมื่อก่อตัวเป็นโอกาสแล้ว ก็จะเข้าสู่การเกิดวิกฤตการณ์

ดังนั้น พวกเราจะมาพร่ำบ่นอะไรกับมลภาวะตอนนี้ที่ก่อตัวเป็นมลภาวะแล้ว นี่ละที่จะเป็นโอกาสสำหรับผู้ประกอบการทั้งหลาย หากคุณสามารถเปลี่ยนสภาพมลภาวะได้ สามารถเปลี่ยนสิ่งแวดล้อมในประเทศจีนได้ ในอีก 30 ปีข้างหน้า ธุรกิจคุณอาจเป็นธุรกิจที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดก็ได้

e207

ฉบับที่ 207 เดือนมีนาคม

แพลตฟอร์มต่อไปของอีคอมเมิร์ซ

4. ผู้ประกอบการเหมือนสัตว์ป่า
การสร้างสรรค์ เป็นบทบาทที่สำคัญของผู้ประกอบการ แต่พวกเราขาดแคลนผู้ประกอบการที่เป็นนักวิทยาศาสตร์ด้านการพัฒนาสังคม พวกเราอาจจะฝึกฝนคนให้เป็นนักบริหารมืออาชีพได้ แต่ว่าเราไม่สามารถฝึกฝนคนให้เป็นผู้ประกอบการได้ ดังนั้น ทุกคนต้องจำไว้ว่า ผู้ประกอบการก็เหมือนกับสัตว์ป่า พวกเราผู้ประกอบการเป็นต้นกำเนิดของระบบนิเวศ เวลาที่เราจะแก้ไขปัญหาหรือตัดสินใจทำอะไรก็ต้องคิดให้แตกต่างจากคนทั่วไป และการสร้างสรรค์ของเรานั้นก็จะไม่เหมือนที่คนทั่วไปเข้าใจกัน

การสร้างสรรค์หรือการสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ ไม่ใช่แค่การเล่าเรื่อง เพราะถ้าหากคุณเข้าใจว่า เพียงยึดหลักการและแนวคิดก็จะสำเร็จได้ พอถึงท้ายที่สุด สิ่งที่คุณได้มาก็เป็นเพียงแค่แนวคิด และถ้าคุณคิดว่าการเล่าเรื่องจะทำให้คุณสำเร็จ พอถึงท้ายที่สุดสิ่งที่เหลือก็จะเป็นแค่เรื่องเล่าเท่านั้น

อยากให้ทุกคนจำไว้ว่า การสร้างนวัตกรรมเกิดจากการตั้งใจให้มันเกิดขึ้น ไม่มีนวัตกรรมไหนที่เกิดขึ้นด้วยความบังเอิญ นวัตกรรมใหม่ๆ จะเกิดขึ้นได้จากการลงแรงลงมือทำ และถ้าเปรียบว่าผู้ประกอบการเป็นสถานะหนึ่ง การสร้างสรรค์นวัตกรรมก็เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาหนึ่งเท่านั้น สำหรับยุคสร้างสรรค์ของ แจ๊ค หม่า อาจมีระยะเวลาเพียงแค่ 3 ปี หรือ 5 ปี แต่ว่าการที่ทุ่มกำลังเพื่อสร้างสรรค์ตลอดมานั้น ทำให้เกิดผลลัพธ์ที่ประสบความสำเร็จเหนือความคาดหมาย ทั้งนี้ เวลาแห่งการสร้างสรรค์ก็มีวันหมดอายุ เพราะถ้ามัวแต่พะวงปัจจัยภายนอก ก็อาจทำให้ละเลยสิ่งที่มีค่ามากที่สุด ณ เวลานั้น เมื่อถึงตอนคุณอายุ 65 ปี คุณอาจทำได้แค่สร้างสรรค์ใช้เวลาอยู่กับลูกหลานในบ้านก็เท่านั้น

การสร้างนวัตกรรมก็มีความเสี่ยงมหาศาล ถ้าพูดถึงการจัดการกับความเสี่ยงนั้น ธุรกิจธนาคารกลับมีวิธีรับมือกับความเสี่ยงได้ดีกว่าธุรกิจไอทีแบบพวกเรา ทั้งที่จริงแล้ว พวกเราแค่มองกับปัญหาในมุมที่ไม่เหมือนกันเท่านั้น อย่างพวกธุรกิจการเงินมีการสร้างเสื้อป้องกันกระสุนสำหรับรับมือกับความเสี่ยงได้ดีกว่า เพียงแต่ธุรกิจไอทีต้องใช้นวัตกรรมแบบสร้างสรรค์ เพื่อไม่ให้เพชรฆาตตามติดในระยะประชิดได้ และวิธีการคิดของทั้งสองธุรกิจก็มีสไตล์ต่างกัน ดังนั้น แทนที่จะสร้างเสื้อเกราะป้องกันกระสุนที่รัดกุมและแน่นหนา เราควรหาวิธีทำยังไงไม่ให้เพรชฆาตเกิดขึ้นมาดีกว่า ดังนั้น ต้องใช้เวลาเพื่อการคิดวิเคราะห์ให้ลึกซึ้ง มองในระดับที่กว้าง ซึ่งจะคุ้มค่ากับการสร้างนวัตกรรมมากกว่า

5. การเริ่มต้นอยู่ที่ตนเอง และผลลัพธ์เป็นเรื่องถัดไป
อีกคำถามหนึ่งที่บรรดาผู้ประกอบการจะต้องคิดให้ได้คือ “ทำอย่างไร ถึงจะประสบความสำเร็จ?”

ถ้ากล่าวแบบปรัชญานั้น ความสำเร็จคือ ต้องเริ่มที่ตนเองก่อน แล้วผลลัพธ์ที่ตามมาก็เป็นเรื่องถัดไป แต่ถ้าหากไม่เรียนรู้ที่จะส่งต่องานให้กับคนอื่นให้กับสังคม ให้กับคนรุ่นหลังได้ แบบนี้คุณก็ยังไม่สำเร็จ

ความสำเร็จมองที่ความมั่งคั่งร่ำรวย คนที่ร่ำรวยจะมีความมั่นคงในที่สุด แต่จะมีผู้ประกอบการกี่คนที่จบลงด้วยความมั่นคง แม้ว่าเราไม่สามารถเลือกเกิดได้ แต่เราก็เลือกได้ว่าจะตายไปอย่างไร การดำเนินธุรกิจก็เช่นกัน เราต้องทำงานเพื่อธุรกิจของเรา เพื่อพนักงานของเรา เพื่อคนรุ่นหลังให้ได้มีความมั่นคง มั่งคั่ง เพราะถ้าหากสามารถทำให้คนในครอบครัว พนักงาน ลูกค้าได้รับประโยชน์ได้ เมื่อนั้นเราก็จะจบแบบสวยงาม นี่ถึงเป็นความมั่งคั่งที่เกิดขึ้นที่ดีกว่า

การทำธุรกิจนั้น ผู้ประกอบการที่แท้จริงจะต้องไม่พร่ำบ่น การจะเป็นคนที่ประสบความสำเร็จได้ ต้องคอยตรวจสอบปัญหาของตนเอง คนที่ไม่ประสบความสำเร็จมักจะชอบกล่าวว่าสิ่งอื่น คนอื่น แต่ไม่มองตัวเองว่าทำผิดพลาดอะไร ในฐานะคนทำธุรกิจจะต้องเตรียมตัวรับมือกับความท้าทายที่จะเกิดขึ้น ต้องเตรียมรับกับการที่คนอื่นกล่าวโทษตนเอง ต้องรับมือกับการที่ตนเองกล่าวโทษตนเองด้วย

6. พ่อค้าชาวเจ้อเจียงต้องเป็นผู้สร้างอุปสงค์
ใครว่าพ่อค้าขายปลีกชาวจีนไม่ประสบความสำเร็จ การค้าขายปลีกทำอย่างไรก็สำเร็จ มีแต่ธุรกิจคุณนั่นแหละที่ไม่สำเร็จ นั่นเพราะอะไร ก็เพราะตลอด 20 ปีที่ผ่านมา คุณมัวแต่สนใจกับอสังหาริมทรัพย์ ไม่ให้ความสนใจด้าน Customer Experience ทุกวันนี้อินเทอร์เน็ตได้เข้ามาต่อกรกับคุณแล้ว นั่นเป็นสิ่งที่เทวดาฟ้าดินได้กำหนดมาแล้ว ธุรกิจบนอินเทอร์เน็ตก็เช่นกัน ไม่มีธุรกิจไหนที่จะอยู่รอดปลอดภัยดีตลอด 3 – 5 ปี ที่จะถึงนี้ ดีไม่ดี ธุรกิจบนอินเทอร์เน็ตกลับจะต้องล้มหายตายจากไปอย่างทรมานมากกว่าธุรกิจแบบดั้งเดิม

ไม่ว่าจะปรับโครงสร้างเศรษฐกิจจีนได้มากแค่ไหน ไม่ว่าพ่อค้าจีนจะต้องพบเจอกับความท้าทายอย่างไร แต่สิ่งที่แน่นอนคือ ถ้าหากพ่อค้าชาวเจ้อเจียงไม่สามารถอยู่รอดได้ ก็ไม่มีพ่อค้าจีนในประเทศคนไหนที่อยู่รอด ถ้าหากพวกเราไม่รอด ใครจะรอด แต่หากพ่อค้าชาวเจ้อเจียงตั้งกลุ่มกัน มีการประชุมหารือกันทุกๆ ปี ดังนั้น เรายังสามารถเชื่อมั่นในตัวเราเองได้

ใครๆ ก็ชื่นชมว่าพ่อค้าเจ้อเจียงสัญชาตญาณแม่นยำ ที่ไหนมีโอกาสทางการค้า ที่นั่นต้องมีพ่อค้าเจ้อเจียง ไม่ว่าที่ไหนๆ บนโลกที่มีโคคาโคล่า ที่นั่นก็ต้องมีพ่อค้าเจ้อเจียง ดังนั้น ไม่ว่าวันนี้หรือพรุ่งนี้ พ่อค้าเจ้อเจียงก็จะต้องค้นหาความต้องการของผู้บริโภคให้ได้ เราต้องสร้างอุปสงค์ให้กับผู้บริโภค ไม่ว่าจะสร้างความต้องการที่ทำให้ดีกว่า หรือการเป็นผู้นำด้านอุปสงค์ ไม่เพียงแต่ตอบสนองความต้องการจากภายนอก แต่ต้องขุดไปให้เจอถึงความต้องการภายใน ดังนั้น โอกาสในการทำธุรกิจของพ่อค้าเจ้อเจียงก็คือ การยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้บริโภค

7. จะผ่านปี 2016 ไม่ง่ายเลย
ผมเข้าใจว่า ตัวผมเอง แจ๊ค หม่า ไม่สามารถลอกเลียนแบบได้ เพราะแม้แต่ตัวผมเองยังเลียนแบบตัวเองไม่ได้ อีกทั้งไม่รู้ว่าที่ผ่านมานั้นเดินมาถึงตรงนี้ได้อย่างไร แต่ก่อนไม่เคยคิดว่าตนเองจะมาทำธุรกิจได้ แต่มาถึงตรงนี้ได้ก็เป็นเรื่องที่บังเอิญสุดๆ แต่หลายคนชอบเข้าใจว่า คนเรานั้นลอกเลียนแบบกันได้ ถ้าคิดแบบนี้จริงๆ ก็ยุ่งเหยิงแล้ว เพราะคุณจะสามารถทำได้มากกว่าคนอื่น แต่ไม่สามารถลอกเลียนแบบคนอื่นได้ อีกทั้งหากเปรียบเทียบกับคนอื่นเรื่องระบบการทำงาน เรื่องความเร็ว นั่นก็ไม่ได้บ่งบอกว่าคุณสำเร็จมากเท่าไร หรือคุณสำเร็จแล้ว การทำได้ไว ไม่ได้หมายความว่าทำได้ดี หรือน่าพอใจมากกว่า

เศรษฐกิจจีนตอนนี้ก็เช่นกัน ไม่ว่า GDP จะโต 7 เปอร์เซ็นต์ หรือ 9 เปอร์เซ็นต์ ก็ไม่สำคัญ แต่สำคัญที่ว่าเศรษฐกิจจีนรูปแบบไหนที่รู้สึกสบายใจมากกว่า การมีความรู้สึกสบายใจจะไม่ทำให้คุณกดดันมาก และสามารถปรับตนเองได้ง่าย การดำเนินธุรกิจก็เช่นกัน ไม่ต้องไปดูเลยว่าธุรกิจคนอื่นจะเพิ่มขึ้น 30 เปอร์เซ็นต์ต่อวัน เพราะเขาต่างหากที่ต้องรับภาระเพิ่มจากการเติบโตให้ได้ 30 เปอร์เซ็นต์ทุกวัน ขอเพียงคุณทำแต่เพียงทำตัวเองให้ดีที่สุด พากเพียรมุ่งมั่น เพราะหากเศรษฐกิจจะชะลอตัว คุณเองก็จะไม่ต้องรู้สึกไม่สบายใจ

ที่จริงแล้ว การจะวัดมาตรฐานว่าธุรกิจดีหรือล้มเหลว อย่าวัดที่ความรวดเร็ว แต่ให้วัดจากความเชื่องช้า เพราะการทำธุรกิจด้วยความเร็วก็มักจะผิดพลาดได้ง่ายๆ พวกเราอายุป่านนี้แล้วก็น่าจะเรียนรู้ที่จะผ่อนความเร็วของฝีเท้า ต้องรู้จักการสร้างรากฐานที่มีระบบ ต้องรู้จักใช้คนดีให้เป็น ต้องรู้จักวิธีการบริหารงานให้ถูกต้อง ต้องรู้จักการใช้เทคโนโลยีเพื่อสร้างนวัตกรรมให้กับสินค้า เพียงแต่ให้คนรุ่นใหม่ใช้ความเร็วในการทำงาน ไม่ต้องไปเปรียบเรื่องความเร็วกับคนรุ่นใหม่ และยิ่งไม่ต้องเปรียบเรื่องนวัตกรรรมใหม่กับคนรุ่นใหม่

ท้ายที่สุด ผมอยากจะขอเตือนทุกคนว่า หากจะดำเนินธุรกิจผ่านปี 2016 นี้ไม่ได้ง่ายดายเลย เพราะถ้าหากคุณดำเนินธุรกิจได้ดีจริง ก็แสดงว่าผมทายผิด แต่ถ้าไม่ ก็แสดงว่าคุณเองต้องเชื่อว่าทุกๆ ธุรกิจก็ไม่ได้ดำเนินไปได้ง่ายดาย และความท้าทายจะมีมากเพิ่มยิ่งขึ้น

การต่อกรของอินเทอร์เน็ตกับทุกคน เป็นเรื่องที่ไม่มีใครสามารถคาดการณ์ได้แน่ เรื่องการปรับเปลี่ยนรูปแบบองค์กร การปฏิวัติความสามารถของคน การปฏิวัติวัฒนธรรม การปฏิวัติเทคโนโลยี เหล่านี้เป็นแค่จุดเริ่มต้น

ดังนั้น สำหรับปี 2016 นี้ จะไม่ขออวยพรให้ทุกคนอยู่อย่างสุขสบาย แต่ขอให้ปี 2016 นี้ พวกเรายังสามารถอยู่รอดต่อไปได้อย่างมั่นคง เพราะถึงแม้พระอาทิตย์จะอยู่บนนั้น แต่ว่าหวังว่าจะส่องถึงพวกเราสักวัน!

You may be interested in

Latest post from Facebook

Related Posts

future car
รถอัจฉริยะกับอุบัติเหตุ

รถอัจฉริยะของกูเกิล จะมีมนุษย์นั่งไปด้วยเพื่อเข้ามาควบคุมรถแทนในสถานการณ์ที่รถอัจฉริยะยังทำเองไม่ได้ ในบทความที่แล้วผมได้นำเสนอประเด็นเรื่องรูปแบบการจราจร และการใช้รถอัจฉริยะร่วมกับระบบขนส่งมวลชนไปแล้ว บทความนี้ ผมจะนำเสนอเรื่องของรถอัจฉริยะต่อในอีกมุมหนึ่ง นั่นคือ...

  • Mobile-2.0
  • CHATBOT
    ภาษาโปรแกรมคอมพิวเตอร์จะเป็นภาษาสากลในอนาคต

    ว่าด้วยเรื่องของภาษาโปรแกรมคอมพิวเตอร์เมื่อกฎขึ้นมาในวงสนทนาเมื่อไร มักจะถูกคนทั่วไปมองหน้าเอาว่า นี่มันคือพวกเนิร์ด (Nerd) หรือกี๊ก (Geek) บ้าคอมฯ และพูดอะไรเข้าใจอยากแบบมนุษย์ต่างดาวแน่นอน ไม่ต้องแปลกใจครับ หลายคนมักเข้าใจว่าภาษาโปรแกรมคอมพิวเตอร์นั้นเป็นภาษาที่คนทั่วไปไม่น่าจะเข้าใจได้ง่าย...

  • future-smart-car
    รถอัจฉริยะกับสังคมในอนาคต

    แท็กซี่ไร้คนขับ ที่มารับ-ส่งผู้โดยสารตามคำร้องขอผ่านแอพพลิเคชั่น รถอัจฉริยะหรือรถขับขี่อัตโนมัติ (Self-Driving Car) เป็นเทคโนโลยีที่กำลังได้รับความสนใจและผลักดันจากหลายฝ่าย ทั้งอุตสาหกรรมรถยนต์และอุตสาหกรรมด้านเทคโนโลยี การมาถึงของรถอัจฉริยะนั้นอาจสร้างความเปลี่ยนแปลงในหลายด้าน...