ในบทความที่แล้ว ผมได้กล่าวถึงความหมายโดยคร่าวของเทคโนโลยีบล็อกเชนและบิทคอยน์ ซึ่งหวังว่าจะสามารถปูพื้นความรู้ให้กับผู้สนใจได้ในระดับหนึ่ง แต่ก็เป็นที่ทราบกันดีว่า ยังมีคริปโตเคอเรนซีอื่นอีกมากที่น่าสนใจไม่แพ้กัน บทความนี้จึงเป็นการแนะนำ Altcoin (คริปโตเคอเรนซีอื่นนอกจากบิทคอยน์) ที่มีคุณลักษณะเด่นและมีมูลค่าตลาดสูงสุด (ณ วันที่ 1 มีนาคม 2561) 5 ราย ได้แก่ 1) อีเธอร์ (Ether) 2) ริพเพิล (Ripple) 3) บิทคอยน์ แคช (Bitcoin Cash) 4) ไลท์คอยน์ (LiteCoin) และ 5) โอมิเซะโกะ (OmiseGO)
“อีเธอร์” คือคริปโตเคอเรนซีสำหรับใช้งานบนระบบ “อีเธอเรียม” ซึ่งได้รับการพัฒนาโดยนายวิทาลิค บูเตริน (Vitalik Buterin) โปรแกรมเมอร์ชาวรัสเซีย เมื่อปี 2558 โดยเป็นแพลตฟอร์มดิจิทัลสาธารณะที่ใช้เทคโนโลยีบล็อกเชนเป็นพื้นฐาน แต่มีระบบที่โปรแกรมเมอร์และผู้สนใจสามารถพัฒนาแอปพลิเคชันแบบกระจายศูนย์ หรือ Dapp (Decentralized Applications) บนแพลตฟอร์มได้ ส่งผลให้เกิดคริปโตเคอเรนซีอื่นตามออกมามากมาย คล้ายกับที่ iOS เป็นแพลตฟอร์มให้สามารถพัฒนาแอปพลิเคชันบนไอโฟนกับไอแพดได้นั่นเอง
อีกหนึ่งคุณสมบัติที่เป็นจุดเด่นของอีเธอเรียมคือ สัญญาอัจฉริยะ (Smart Contract) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่นักพัฒนาสามารถเขียนโปรแกรมให้ระบบดำเนินการทำธุรกรรมตามข้อตกลงแบบอัตโนมัติ โดยไม่ต้องผ่านตัวกลาง เพราะรายละเอียดของสัญญาจะถูกจัดเก็บในรูปแบบโค้ดคอมพิวเตอร์บนระบบของอีเธอเรียม ซึ่งได้รับการกระจายให้ทุกคนในเครือข่ายร่วมเห็นเป็นพยานว่าเกิดเหตุการณ์ตามที่กำหนดไว้จริง แล้วจึงอนุมัติการทำธุรกรรมดังกล่าว
ตัวอย่างของการนำระบบสัญญาอัจฉริยะไปใช้งานจริงคือ การที่ผู้โดยสารได้รับเงินประกันค่าเดินทางโดยอัตโนมัติเมื่อเครื่องบินดีเลย์ โดยไม่ต้องเสียเวลาทำเรื่องขอเอาเงินประกัน และการชำระเงินค่าเช่าอาศัย โดยผู้พักห้องเช่าตกลงกับผู้ให้เช่า ว่าจะชำระค่าเช่าทุกวันที่กำหนดของทุกเดือน มิเช่นนั้นประตูห้องจะถูกล็อคโดยอัตโนมัติจนกว่าจะชำระเงินเข้าไปในระบบบล็อกเชนตามที่ตกลงกันไว้ก่อนหน้านี้ เป็นต้น
ริพเพิล (เป็นทั้งชื่อบริษัทและคริปโตเคอเรนซี) กำเนิดขึ้นเมื่อปี 2556 มีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่เมืองซานฟรานซิสโก รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา และมีสาขาย่อยอยู่ทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็น กรุงลอนดอน สหราชอาณาจักร และเมืองซิดนีย์ รัฐนิวเซาท์เวลส์ เครือรัฐออสเตรเลีย เป็นต้น มีเป้าหมายหลักคือ ลดค่าใช้จ่าย และเพิ่มความรวดเร็วในการโอนเงินระหว่างประเทศ โดยริพเพิลนำเสนอโซลูชันการเชื่อมโยงระบบหลังบ้านของสถาบันการเงินผ่านเทคโนโลยีบล็อกเชนที่เรียกว่า ริพเพิลเน็ท (RippleNet) ทำให้สามารถโอนเงินข้ามประเทศสำเร็จได้โดยใช้เวลาไม่กี่วินาที จากเดิมที่อาจต้องใช้เวลาหลายวัน
แม้ว่าริพเพิลเน็ทจะเป็นระบบการประมวลผลแบบกระจายศูนย์ แต่จะถูกควบคุมโดยริพเพิลและผู้ตรวจสอบ (Validator) อีกกลุ่มหนึ่ง จึงนับว่า เป็นระบบบล็อกเชนแบบปิดที่มีความน่าสนใจ เพราะสามารถตรวจสอบตัวตนผู้เข้าร่วมได้ มีความน่าเชื่อถือสูง และทำงานได้อย่างรวดเร็ว เพราะเสียเวลายืนยันการทำธุรกรรมน้อยกว่าระบบเปิดที่มีสมาชิกในเครือข่ายเป็นจำนวนมาก จึงเหมาะกับการนำไปใช้กับเครือข่ายองค์กรที่ต้องมีการยืนยันธุรกรรมข้ามชาติเป็นกิจวัตร อาทิ สถาบันการเงิน
ที่ผ่านมา ริพเพิลประสบความสำเร็จกับการเจาะตลาดลูกค้าในกลุ่มดังกล่าวเป็นอย่างมาก โดยได้รับการสนับสนุนและมีสมาชิกเป็นสถาบันการเงินทั่วโลกกว่า 75 แห่ง อาทิ ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด ซึ่งสำหรับประเทศไทยก็คือ ธนาคารไทยพาณิชย์ ที่กำลังอยู่ในระหว่างการทดลองการโอนเงินระหว่างประเทศผ่านระบบนี้
บิทคอยน์ แคช ถือกำเนิดขึ้นเมื่อเดือนสิงหาคม 2560 โดยเป็นผลจากการที่ทีมพัฒนากลุ่มหนึ่งในชุมชน (Community) ของบิทคอยน์เสนอทางออกเพื่อแก้ปัญหาการสเกล (Scaling) หรือปริมาณการใช้งานที่เพิ่มมากขึ้นในระบบ ทำให้เริ่มประสบปัญหาความล่าช้าของการยืนยันธุรกรรมและอัตราค่าธรรมเนียมที่สูง ผู้ใช้งานจึงเริ่มหันไปหาคริปโตเคอเรนซีอื่นที่สามารถตอบสนองต่อการใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่า ส่งผลให้ส่วนแบ่งตลาดของบิทคอยน์ในปีนั้นลดลงอย่างมาก จากร้อยละ 90 เหลือเพียงร้อยละ 40 เท่านั้น
ด้วยเหตุนี้ ผู้พัฒนากลุ่มดังกล่าวจึงได้เสนอทางออก ด้วยการเพิ่มขนาดของบล็อคในระบบให้เป็น 8MB และแยกตัว (Forking) ออกมาสร้าง บิทคอยน์ แคช เพื่อเป็นอีกทางเลือกหนึ่งสำหรับผู้สนใจการชำระเงินด้วยคริปโตเคอเรนซี มูลค่าตลาดของ บิทคอยน์ แคช ในปัจจุบันเป็นอันดับสามของคริปโตเคอเรนซีทั่วโลก สะท้อนให้เห็นว่าได้รับความนิยมไม่แพ้บิทคอยน์เลยทีเดียว
ไลท์คอยน์ได้รับการพัฒนาโดยนายชาลี ลี (Charlie Lee) นักศึกษาจากสถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์ (Massachusetts Institute of Technology – MIT) สหรัฐอเมริกา อดีตพนักงานบริษัทกูเกิล และเคยเป็นผู้อำนวยการฝ่ายวิศวกรรมที่คอยน์เบส (Coinbase) ตลาดซื้อขายแลกเปลี่ยนคริปโตเคอเรนซีชื่อดังของโลกอีกด้วย
ไลท์คอยน์มีความสามารถทัดเทียมบิทคอยน์ แต่ถูกกำหนดให้มีปริมาณหมุนเวียนในระบบมากกว่าที่ 84 ล้านหน่วย (บิทคอยน์ ถูกกำหนดไว้ที่ 21 ล้านหน่วย) และสามารถสร้างบล็อกได้เร็วกว่าที่ 1 บล็อกในทุก 2 นาทีครึ่ง ขณะที่บิทคอยน์อยู่ที่ทุก 10 นาที ที่สำคัญ ราคาซื้อขายแลกเปลี่ยนในตลาดรองยังถูกกว่าอีกด้วย จึงเหมาะสมต่อการนำไปจับจ่ายใช้สอยมากกว่า
แม้ว่ามูลค่าตลาดจะไม่อยู่ในอันดับ Top 5 เช่นเดียวกับคริปโตเคอเรนซีอื่น แต่โอมิเซะโกะก็มีความน่าสนใจมาก เพราะว่ามีคนไทยเป็นหนึ่งในทีมพัฒนาด้วย คือคุณอิศราดร หะริณสุต ซึ่งได้ก่อตั้งโอมิเซะ (Omise) ร่วมกับนายจุน ฮาเซกาวา (Jun Hasegawa) ชาวญี่ปุ่น โดยเป็นบริษัทให้บริการช่องทางชำระเงินออนไลน์ (Payment Gateway) และเป็นหนึ่งในบริษัทสตาร์ทอัพดาวเด่นที่สามารถระดมทุนระดับ Series B ได้มากถึง 17.5 ล้านเหรียญ ในช่วงเดือนกรกฎาคม 2559
จากนั้น ในปี 2560 บริษัทได้ระดุมทุนโดยใช้สกุลเงินดิจิทัล (ICO – Initial Coin Offering) ไปได้อีกกว่า 20 ล้านเหรียญ โดยผู้ลงทุนจะได้ดิจิทัลโทเคนที่เรียกว่า “โอมิเซะโกะ (OmiseGO)” สำหรับใช้ในในเครือข่ายบล็อกเชนของระบบ ซึ่งเป้าหมายของระบบโอมิเซะโกะ คือ การสร้างระบบนิเวศสำหรับใช้ในการแลกเปลี่ยนเงินธรรมดา (Fiat Currency) คริปโตเคอเรนซี และสินทรัพย์อื่นโดยไม่ต้องอาศัยตัวกลางอย่างธนาคาร มีความปลอดภัย และมีค่าธรรมเนียมต่ำ ทำให้ผู้ใช้บริการแพลตฟอร์มนี้สามารถบริหารจัดการเงินจริงและสินทรัพย์ดิจิทัลได้ไปพร้อม ๆ กัน
ล่าสุด โอมิเซะ ได้ลงนามบันทึกข้อตกลงร่วมกับสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) (สพธอ.) กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ในการร่วมกันพัฒนาระบบการพิสูจน์ตัวตนและยืนยันตัวตนทางดิจิทัลในการให้บริการธุรกรรมออนไลน์ของภาครัฐและเอกชนในประเทศไทยตามที่ สพธอ. กำหนด เพื่อให้การทำธุรกรรมออนไลน์มีความสะดวกรวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยโอมิเซะต้องการจะเป็นผู้ให้บริการระบบยืนยันตัวตน (Identity Provider – IDP) ของโครงการ National Digital ID ของรัฐบาลนั่นเอง