GDPR กฎหมายที่มาพร้อมการลงโทษหากองค์กรเพิกเฉย

การป้องกันข้อมูลในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก มีการใช้ระบบดิจิทัลมากขึ้นในรัฐบาล โดยมีการบังคับใช้กฎหมายด้านความเป็นส่วนตัวและการรักษาความปลอดภัยข้อมูล (Privacy and data security law) ที่เข้มงวด

ด้านเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หนึ่งในภูมิภาคที่นวัตกรรมดิจิทัลเติบโตเร็วที่สุด เป็นผลมาจากการใช้อินเตอร์เน็ตบนสมาร์ทโฟนที่มากขึ้น ทำธุรกรรมข้อมูลข้ามพรมแดนเพิ่มมากขึ้น จึงคาดว่าการเก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลของประเทศในเอเชียแปซิฟิกจะเพิ่มมากขึ้นเช่นกัน

พบว่าธุรกิจในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกหลายแห่ง ยังไม่ได้ปฏิบัติตามกฎหมายที่มีอยู่ในปัจจุบัน และยังชะลอการลงมือปฏิบัติตามกฎหมาย เหตุส่วนหนึ่งเพราะยังไม่เข้าใจในเรื่องมาตรฐานการปฏิบัติ

สหภาพยุโรปหรืออียูประกาศใช้กฎหมายการป้องกันข้อมูล (General Data Protection Regulations: GDPR) ของยุโรปในเดือนพฤษภาคมปี พ.ศ. 2561 คือหลักคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของสหภาพยุโรป ที่ยกระดับความปลอดภัย ความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้อินเตอร์เน็ต

ส่งผลให้เกิดการกำหนดรูปแบบ และกระตุ้นรัฐบาลในเอเชียแปซิฟิกให้ความสำคัญกับการป้องกันความเป็นส่วนตัวมากขึ้น เช่น การลงโทษทางการเงินหากองค์กรมีความผิดพลาดในข้อมูลของลูกค้า รวมถึงกฎหมายบังคับสำหรับการแจ้งเตือนการละเมิดข้อมูล

การปกป้องข้อมูลที่สำคัญและเป็นความลับจึงกลายเป็นส่วนสำคัญของการดำเนินธุรกิจ องค์กรมีการป้องกันข้อมูลสำคัญและลดความเสี่ยงของลูกค้าได้เร็วเท่าไร ก็จะเป็นโอกาสทางการแข่งขันและยังสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้าต่อองค์กรตนเอง การไม่ปฏิบัติตามข้อกำหนดอาจนำไปสู่การโดนปรับและความเสียหายร้ายแรงต่อชื่อเสียงขององค์กรตนเอง

You may be interested in

Latest post from Facebook

Related Posts

การป้องกันกลโกงการชำระเงินรูปแบบผ่านช่องทางออนไลน์

การชำระเงินในรูปแบบที่ไม่ใช้ธนบัตรหรือเงินสด เริ่มต้นมาตั้งแต่ปี ค.ศ.1950 โดยเป็นรูปแบบที่เรียกว่า Manual Imprinting (ZipZap) เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน ที่เพียงกดโทรศัพท์มือถือ หรือการสแกนผ่าน QR Code ที่มีความปลอดภัยและรวดเร็วขึ้นตามสมัย แต่กลโกงหรือมิจฉาชีพก็พัฒนาตามเทคโนโลยีด้วยเช่นกัน แต่เราจะสามารถระวังตัว ระวังกลุ่มมิจฉาชีพได้อย่างไรบ้าง