K Bank ดัน QR Payment ตอบไลฟ์สไตล์

ความตื่นตัวท่ามกลางกระแสการแข่งขันด้าน Mobile Payment ที่รุนแรงในแวดวงการเงินธนาคาร ทำให้บทบาทของธนาคารเปลี่ยนไป และ ด้วยผู้ใช้งานแอพฯ K Plus ถึง 6.5 ล้านราย ซึ่งเป็นจำนวนครึ่งหนึ่งของลูกค้าธนาคารที่มีอยู่ราว 13-14 ล้านราย ล่าสุด K Bank โดย สมคิด จิรานันตรัตน์ รองประธาน กสิกร บิซิเนส-เทคโนโลยี กรุ๊ป (KBTG) ได้ออกมาเผยถึงเทคโนโลยีสำคัญในการทำดิจิทัลที่จะเป็นก้าวต่อไปสู่การเป็น Mobile Platform

พร้อมเพย์ คือจุดเริ่มต้น Cashless Society

พร้อมเพย์เป็นโครงสร้างพื้นฐาน e-Payment ในไทย ทำหน้าที่เป็นตัวแทนของประชาชนในการโอน-รับเงิน โดยที่ฝ่ายไม่จำเป็นต้องรู้ว่าอีกฝ่ายใช้บัญชีธนาคารไหน ด้วยการผูกบัญชีผ่าน หมายเลขโทรศัพท์ เลขบัตรประชาชน และล่าสุดผูกบัญชีกับ e-wallet ได้แล้ว

การผูกบัญชีผ่าน e-wallet นอกจากทำให้ผู้ใช้สามารถโอนเงินเข้าออกได้โดยไม่เสียค่าบริการแล้ว ยังช่วยเพิ่มความสบายใจให้กับผู้ใช้งานที่ไม่ต้องการเปิดเผยข้อมูลหมายเลขโทรศัพท์ หรือเลขบัตรประชาชนด้วย

สมคิด มองว่า เลขบัตรประชาชน เป็นข้อมูลสงวน ที่ไม่ควรให้ใครรู้ หรือใช้พร่ำเพรื่อ นอกจากใช้รับเงินจากหน่วยงานภาครัฐ ขณะที่เบอร์โทรศัพท์ เหมาะสำหรับการบอกคนอื่นสำหรับโอนเงินให้ แต่ยังต้องระวังในเรื่องความเป็นส่วนตัว แต่เลขของ e-wallet จะเป็นเลขที่ถูกสร้างขึ้นมาใหม่จำนวน 15 หลัก โดยพร้อมเพย์จะสนใจแค่เลข 3 หลักแรกว่าเป็นของผู้ให้บริการ e-wallet รายใดเท่านั้น ส่วน 12 ตัวที่เหลือผู้ให้บริการสามารถจัดการเอง โดยจะใช้เป็นอะไรก็ได้ ทำให้ยากต่อการถูกปลอมแปลงมากขึ้น ซึ่งปัจจุบันกสิกรไทย มีใบอนุญาตให้บริการ e-wallet อยู่แล้วในชื่อ K+ Wallet

นอกจากการโอนเงินส่วนบุคคล (PromptPay Transfer) ในวันที่ 18 พฤศจิกายน 2560 พร้อมเพย์จะเพิ่มโครงสร้างในส่วนของการชำระบิล (PromptPay Biller Payment) และการขอให้จ่ายเงิน (Request to Pay) ที่มีข้อมูล Reference บอกว่าเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับอะไรด้วย

สมคิด จิรานันตรัตน์ รองประธาน กสิกร บิซิเนส-เทคโนโลยี กรุ๊ป (KBTG)

Nearby Payment แค่เข้าใกล้ก็จ่ายเงินได้

มาที่ภาพรวมบริการ Mobile Banking และ Mobile Payment ของธนาคาร เป็นที่ทราบกันดีว่า ลูกค้าหรือบุคคลทั่วไปนิยมใช้งานแอพฯ K Plus แต่ล่าสุด K Bank ได้พัฒนา K Plus Shop ที่ออกแบบมาให้เป็นโซลูชั่นสำหรับร้านค้า รองรับการรับจ่ายเงินผ่านดิจิทัลที่สะดวกมากขึ้น โดยเริ่มให้บริการแล้วเมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ในพื้นที่ทดสอบย่านสยามสแควร์ จตุจักร และแพลทินัมประตูน้ำ ก่อนจะเปิดให้ใช้งานทั่วไปหลังได้รับการอนุมัติจากแบงก์ชาติ

นอกจากการเพิ่มฟีเจอร์ QR Code บน K Plus แล้ว K Plus Shop ถือเป็นแอพฯสำหรับร้านค้าแรกในไทย ที่รับชำระเงินด้วย QR Code ซึ่งนอกจากการโอนเงิน-จ่ายเงินผ่านระบบพร้อมเพย์แล้ว ยังมีฟีเจอร์พิเศษหลายอย่าง อาทิ การแจ้งผลเมื่อมีเงินเข้าร้านทันที การสร้างรายงานยอดขาย รายรับ และรายจ่าย

อีกทั้งร้านค้าสามารถกดคืนเงินให้ลูกค้าได้ทันที กรณีที่ลูกค้าจ่ายเงิน K Plus ไปยังร้านค้าที่ใช้ K Plus Shop หากโอนเงินให้ร้านค้าผิด หรือมีการเปลี่ยนแปลงออเดอร์ ร้านค้าสามารถกดเงินคืนให้ลูกค้าได้ โดยที่เงินจะกลับคืนบัญชีของลูกค้าทันที นอกจากนี้ลูกค้า K Plus สามารถดูชื่อร้าน และรูป Display ของร้านค้าที่ใช้ K Plus Shop ก่อนจ่ายเงิน เพื่อตรวจสอบความถูกต้องก่อนกดยืนยันจ่ายเงินได้อีกด้วย

และในอนาคตจะมีเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่ไม่ต้องจ่ายผ่าน QR Code โดยเรียกว่า Beyond QR Payment ซึ่งเป็นการจ่ายเงินแบบ Nearby Payment หรือแค่เข้าใกล้ก็สามารถเลือกและกดจ่ายเงินได้เลย ผ่านเทคโนโลยีหลากหลาย Bluetooth Low Energy , Ultra Sonic และ GPS

จากภาพจะเห็นการทำงานของแอพฯ K Plus Shop ที่สามารถค้นหาร้านค้าใกล้เคียง และสามารถดูชื่อร้านและรูปภาพ เพื่อยืนยันว่าเป็นร้านนี้จริงๆก่อนจ่ายเงินได้ รวมถึงกรณีจ่ายเงินแท็กซี่-มอเตอร์ไซค์รับจ้าง จะเห็นเป็นหน้าคนขับ หรือแม้แต่ให้ทิปแคดดี้สนามกอล์ฟ ก็ทำได้เลยทันที

เปิด Tag 31 นวัตกรรม K Bank

ปัจจุบันระบบของพร้อมเพย์ มี Tag สำหรับการจ่ายเงินอยู่ 3 แบบ คือ Tag 29 สำหรับการโอนเงิน (Transfer) , Tag 30 สำหรับการชำระบิล (Bill payment) ซึ่งทั้งสอง Tag ถือเป็นมาตรฐานที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดให้ทุกธนาคารต้องมี และ Tag 31 สำหรับ API เฉพาะแต่ละธนาคาร (API Based)

ซึ่ง Tag 31 ถือเป็นนวัตกรรมที่ K Bank เป็นผู้พัฒนาใช้เอง ทำให้แอพฯของ K Bank มีฟีเจอร์มากกว่าการโอนเงินแบบปกติ เพราะมีการพูดคุยกันผ่าน API ระหว่างแอพฯ K Plus และ K Plus Shop ทั้งนี้ปัจจุบันมี AIS mPay ที่เข้ามาเชื่อมต่อ API แล้ว และในอนาคตธนาคารจะเปิดให้หน่วยงานอื่นๆ หรือสตาร์ทอัพเข้ามาใช้งานได้โดยไม่คิดค่าบริการ

ภายใต้การประกาศใช้ QR Code มาตรฐานเดียวกัน ทำให้ Tag สำหรับการจ่ายเงินของระบบของพร้อมเพย์มีอยู่ 3 แบบ ได้แก่ Tag 29 สำหรับ Transfer , Tag 30 สำหรับ Bill payment และ Tag 31 สำหรับ API Based

ใช้ AI , Biometric และบล็อกเชน พลิกแพลงบริการให้เป็นมากกว่าเรื่องเงิน

อนาคต K Bank ตั้งเป้ามีฐานผู้ใช้งานถึง 10 ล้านคน และในการดึงให้คนมาใช้งานแอพฯ ตลอดจนสามารถครองใจผู้ใช้ได้ K Bank ไม่ได้มองแค่เรื่องการเงินอีกต่อไป แต่มองถึงสิ่งอื่นรอบตัวที่อยู่ในของชีวิตประจำวันของลูกค้า หรือ ไลฟ์สไตล์มากขึ้น ด้วยการแมทซ์บริการที่มีอยู่ให้เป็นบริการใหม่ที่ตอบโจทย์ ผ่านการทำ K Plus Lifestyle

ไม่ว่าจะเป็นการเปิดให้ร้านค้า-ธุรกิจ สามารถเสนอบริการหรือผลิตภัณฑ์ให้กับลูกค้าของธนาคารได้ การนำ Machine Learning เข้ามาช่วยจับคู่สินค้าที่เหมาะสมให้ลูกค้า (Machine Commerce) สามารถขายผ่านแอพ K Plus ได้ทันที

สมคิด บอกว่า AI เป็นเทคโนโลยีที่ธนาคารกำลังโฟกัส ซึ่งในอนาคตจะนำมาใช้กับการปล่อยกู้สินเชื่อส่วนบุคคล โดยธนาคารจะเป็นฝ่ายเสนอเงินกู้ให้กับลูกค้าเอง ผ่านทางแอพฯ K Plus ซึ่งมีการประเมินความเสี่ยงจากข้อมูลธุรกรรมที่มีอยู่ (Big Data) และหากลูกค้าตกลงกู้เงิน ระบบจะทำการอนุมัติพร้อมโอนเงินเข้าบัญชีลูกค้าทันทีภายในไม่กี่นาที จากเดิมที่ลูกค้าจะต้องยื่นขอกู้และใช้ระยะเวลาในการประเมินนานหลายสัปดาห์

นอกจากนี้ยังมีเทคโนโลยี Biometric Verification ที่นำมาใช้ในการยืนยันตัวตนของลูกค้า รวมถึงบล็อกเชน ที่เข้ามาจัดการเรื่องการจัดเก็บข้อมูลและรับรองเอกสาร ลดต้นทุนการจัดการเอกสารที่เป็นกระดาษ ตัวอย่างเช่น บริการหนังสือค้ำประกันบนเทคโนโลยีบล็อกเชน ที่ K Bank ได้พัฒนาขึ้นเป็นครั้งแรกของโลก และมีการเปิดตัวไปเมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา โดยขณะนี้พัฒนาบริการอยู่ภายใต้ Regulatory Sandbox

อย่างไรก็ตาม สมคิด ยังบอกอีกว่า สาเหตุธนาคารมุ่งการพัฒนาไปที่ช่องทางโมบายล์มากกว่าเว็บไซต์ เพราะพฤติกรรมผู้ใช้งาน มีการทำธุรกรรมผ่าน K Plus สูงถึง 65 เปอร์เซ็นต์จากปริมาณธุรกรรมทั้งหมด ลูกค้าสามารถใช้งานได้ง่ายและสะดวกทันใจ ขณะที่ธนาคารเองสามารถตอบสนองความต้องการลูกค้าได้เร็วขึ้นด้วย และทั้งหมดนี้คือภาพรวม Mobile Payment ของ K Bank ที่กำลังเปลี่ยนไป

ข้อมูลเกี่ยวกับ K Plus Shop

You may be interested in

Latest post from Facebook

Related Posts