ภายใต้ยุคไทยแลนด์ 4.0 การศึกษาไทยกำลังก้าวเข้าสู่ดิจิทัล ปัจจุบันมีหน่วยงานการศึกษา มหาวิทยาลัย หลายแห่งที่มีการใช้เทคโนโลยีด้านการศึกษา เข้ามาช่วยในกระบวนการเรียนการสอน จึงเกิดเป็นหัวข้อเสวนา Power of Digital Education งานประชุมวิชาการและนิทรรศการของเนคเทค ประจำปี 2560 โดยมี รศ.ดร. อนุชัย ธีระเรืองไชยศรี จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, รศ.ดร.ชุติพร อนุตริยะ จาก Asian Institute of Technology, ดร.วรสรวง ดวงจินดา จากมหาวิทยาลัยศรีปทุม และ รศ.ดร. อติวงศ์ สุชาโต จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมกันแสดงความคิดเห็นและเสนอแนะแนวทาง Digital Education
อย่างที่เราเห็นกัน ดิจิทัล ดิสรัปชั่นเข้ามาเปลี่ยนแปลงสังคมอย่างมาก เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาททั้งในภาคธุรกิจและชีวิตประจำวันมากขึ้น แม้แต่ในภาคการศึกษาเองก็มีการปรับเปลี่ยนเช่นกัน ดังนั้น Digital Education จะเข้ามาแทรกระบบการศึกษาไม่ว่าจะเด็กหรือผู้ใหญ่ ที่บ้าน โรงเรียน รวมถึงสถานที่ต่างๆ ก็สามารถเรียนรู้ได้ทุกที่ทุกเวลาบนโลกอินเตอร์เน็ต
ด้วยสื่อดิจิทัลนี้เองทำให้การเรียนการสอนมีหลายหลายรูปแบบ เปลี่ยนจากกระดาษ รูปภาพ ไปสู่ภาพเคลื่อนไหว วีดิโอคลิป และมีหลายแพล็ตฟอร์ม ส่งผลต่อการเรียนรู้จะเกิดขึ้นทุกที่ทุกทาง เพียงแค่มีสมาร์ทดีไวซ์เข้าถึงแหล่งความรู้ได้ตลอดแบบออนดีมานด์ เช่น การเรียนผ่านยูทูบ เป็นต้น เมื่อการเรียนรู้เข้าถึงง่าย การศึกษาก็จะมีความยืดหยุ่นตามไปด้วย
ยกตัวอย่าง สมัยก่อนหากเรียนภาษาอังกฤษ อาจจะต้องเดินทางไปยังโรงเรียนกวดวิชา เข้าจองคลาสเรียน หากห้องเต็มต้องเรียนผ่านหน้าจอโทรทัศน์อีกห้อง เมื่อนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ เกิดการเรียนรู้ที่สามารถเข้าถึงทุกคน เช่น เรียนผ่านหน้าจอคอมพิวเตอร์พร้อมกันในขณะที่ผู้สอนกำลังสอน เป็นต้น
หรือสามารถซื้อคอร์สเพิ่มทักษะผ่านออนไลน์ ที่ไม่ใช่แค่คนในประเทศเท่านั้น แต่คนต่างชาติก็สามารถเข้ามาเรียนได้ เราเองก็เข้าถึงจากประเทศอื่นๆ ได้เช่นกัน และยังลดช่องว่างของผู้พิการในการเข้าถึงแหล่งเรียนรู้อีกด้วย นอกจากนี้ ดิจิทัลยังเป็นเครื่องมือที่ใช้ในเรื่องของการสื่อสารกับผู้ที่มีความรู้และผู้เชี่ยวชาญ ในการแลกเปลี่ยนความรู้และสอบถามในสิ่งที่ต้องการคำตอบ
สำหรับปีนี้คงจะมีคนพูดถึงเรื่องของ BigData กันในวงกว้าง หากมีการนำมาใช้กับภาคการศึกษา โดยเก็บข้อมูลของนักเรียน และนำมาวิเคราะห์พฤติกรรมาการเรียนรู้ของแต่ละคน ก็จะมีประโยชน์ในด้านของการนำไปพัฒนา และจัดการเรียนการสอนสำหรับผู้สอน รวมถึงแนะนำเนื้อหาของผู้เรียนตามพฤติกรรมรายบุคคล พื้นฐานความรู้ ความสนใจ ความเข้าใจ และความถนัด ก็จะทำให้ผู้สอนเลือกแพล็ตฟอร์มในการสอนแต่ละกลุ่มแต่ละคลาสได้อย่างเหมาะสม
เปิดเว็บไซต์ Thai MOOC เพื่อการเรียนรู้แบบออนไลน์
เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมาทาง สำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา โดยโครงการมหาวิทยาลัยไซเบอร์ไทย เปิดตัวโครงการ Thailand Massive Open Online Course หรือ Thai MOOC การเรียนการสอนออนไลน์ในระบบเปิดสำหรับมหาชนแห่งชาติ เพื่อการเรียนรู้ตลอดชีวิตแบบออนไลน์ https://www.thaimooc.org
Thai MOOC คือ ระบบการศึกษาแบบเปิด หรือเรียกสั้น ๆ ว่า การเรียนแบบออนไลน์ โดยที่นักเรียน นิสิต นักศึกษา และประชาชนทั่วไปสามารถเข้าเรียนผ่านอินเตอร์เน็ตได้โดยไม่มีเงื่อนไขและข้อจำกัดใด ๆ อีกทั้งผู้ที่สนใจเรียนจะไม่เสียค่าใช้จ่ายในการลงทะเบียนเรียน ไม่ต้องสอบเข้า และไม่มีการจำกัดจำนวนผู้เข้าเรียน ซึ่งมีจำนวนวิชาให้ผู้เรียนได้เลือกกว่า 140 วิชา
ทั้งนี้ วิชาเรียนที่อยู่ในระบบ Thai MOOC ไม่ว่าจะเป็นรายวิชาทางสังคมศาสตร์ วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิชาทางการศึกษา สาธารณสุข มีวิชาอีกหลากหลายมากมายที่จะให้ผู้เรียนได้เลือก โดยเป็นรายวิชาที่ทางมหาวิทยาลัยผู้เข้าร่วมโครงการ Thai MOOC เป็นผู้สอน
ลักษณะการเรียนจะจัดเรียงคอนเทนต์ไว้เป็นระบบชัดเจน เน้นเรียนแบบวิดีโอเป็นหลัก มีกิจกรรมการเรียนที่เหมือนกับในห้องเรียน จะช่วยตอบสนองในเรื่องของการเรียน มีอาจารย์ผู้สอนและมีผู้เรียนที่อยู่ในระบบจริง ๆ และรับจำนวนได้ไม่จำกัด ตรงนี้จะทำให้การเรียนแตกต่างจากการเรียน e-Learning ในแบบเดิม
อีกทั้ง ยังจัดเก็บฐานข้อมูลผู้เรียนที่เข้ามาเรียนในระบบ สมมติว่าผู้เรียนเข้ามาเรียนสองครั้ง ระบบก็จะเก็บไว้ว่า เข้ามาเรียนแล้ว ทดสอบแล้ว ทำกิจกรรมผ่านในระบบตรงนั้น ทำการประเมินวัดผล ระบบก็จะเก็บฐานข้อมูลนั้นไว้ จะมาเรียนกี่ปีระบบก็จะเก็บไว้ให้ แม้กระทั้งในอนาคตถ้าเรียนจนครบรายวิชาที่คิดว่าจะเอาไปเทียบกับสถาบันใด ผู้เรียนก็สามารถจะหิ้วข้อมูลตรงนี้ไปเทียบการเรียนกับในระบบของสถาบันนั้น ๆ ได้
ไม่เพียงเท่านี้ ยังจับมือร่วมกับสถาบันการจัดการศึกษาตลอดชีวิต ประเทศเกาหลี ผู้ดูแลโครงการการศึกษาในระบบเปิดเพื่อการเรียนรู้ตลอดชีวิต K-MOOC และสภาความร่วมมือ เพื่อการส่งเสริมการใช้การศึกษาในระบบเปิด JMOOC ประเทศญี่ปุ่น เป็นการยกระดับการศึกษาออนไลน์ของไทย และต่อยอดอนาคตให้ผู้เรียนชาวต่างชาติ ได้มีโอกาสเข้าเรียนการศึกษาของไทย ทั้งยังมีการพัฒนาหลักสูตรร่วมกัน เช่น หลักสูตรการท่องเที่ยว เป็นต้น
ใช้เทคโนโลยีสอน ควบคู่กับผู้สอนในห้องเรียน
สำหรับในส่วนมหาวิทยาลัยเอง ก็มีการนำเทคโนโลยีเข้ามาเข้ามาใช้ควบคู่กับการสอนในห้องเรียน อย่าง มหาวิทยาลัยมหิดล สร้างระบบ MUX เว็บไซต์เพื่อทบทวนการเรียน หรือบางมหาวิทยาลัยมีการเช็คชื่อเข้าห้องเรียนผ่านคิวอาร์โค้ด โดยไม่ต้องขานชื่อ
ในเวทีเสวนายังเสนอเกี่ยวกับนโยบายการสร้างระบบแผนที่การเรียน ตั้งแต่เริ่มต้นไปจนกระทั้งเรียนจบ เป็นการพาผู้เรียนไปยังเป้าหมายที่ถูกทาง เรียนรู้ในสิ่งที่ผู้เรียนสนใจจริงๆ กับสถาบันการศึกษาที่ตอบโจทย์ เพื่อแนะนำไปสู่ความสำเร็จในชีวิต นอกจากนี้ ยังต้องจัดระบบกลไกเสียใหม่ สร้างความเข้าใจไปพร้อมๆ กับการสร้างมาตรฐานการศึกษาในระบบดิจิทัล
โครงการ Thai MOOC นับว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีสำหรับการนำเทคโนโลยีมาช่วยให้ประชาชนเข้าถึงการเรียนรู้ได้ง่ายขึ้น ถึงกระนั้นก็ยังคงต้องร่วมมือกันต่อไปในการสร้างระบบกาศึกษาแบบบูรณาการ โดยปัญหาหลักยังเป็นเรื่องที่ท้าทายว่าจะทำอย่างไรที่จะให้ลูกหลานเข้าไปเรียนรู้ผ่านคอนเทนต์บนออนไลน์ จากความสนใจของตนเองโดยไม่ต้องมีใครบังคับด้วยความเต็มใจ