การแถลงข่าวในครั้งนี้ของแสนสิรินับว่าเป็นครั้งใหญ่ส่งท้ายปี กับตัวเลขลงทุน 80 ล้านดอลล่าร์ (2,650 ล้านบาท) ใน 6 ธุรกิจด้านเทคโนโลยีและไลฟ์สไตล์ ที่ล้วนมีอัตราการเติบโตสูงในตลาดโลก เป็นการเดินหน้าโมเดลธุรกิจแบบ asset light ในยุคปฏิวัติดิจิทัล
ด้วยตลาดอสังหาริมทรัพย์ของไทยที่เติบโตสอดคล้องกับจีดีพี เพียง 3 – 4 % ทำให้ต้องมองหาแนวทางใหม่ๆ ในการสร้างการเติบโต หากมองภาพรวมของปีนี้จะเห็นว่า หลายอุตสาหกรรมต่างมองหา “พาร์ทเนอร์” ในอุตสาหกรรมที่ตัวเองไม่ได้อยู่โดยตรง โดยเฉพาะสายเทคโนโลยีที่จะทำให้ธุรกิจหลักของแต่ละฝ่ายเติบโตได้ ซึ่งไม่แปลกที่ทางแสนสิริจะจับมือกับธุรกิจในส่วนต่างๆ
แต่สิ่งที่แสนสิริมองหานั้น กลับเป็นพาร์ทเนอร์ยักษ์ใหญ่ในระดับโลกในแวดวงอสังหาฯ ด้วยกัน ครอบคลุมทั้งในส่วนของที่พักอาศัย การดำเนินชีวิต การทำงาน การพักผ่อนหย่อนใจ และการเรียนรู้ผ่านเทคโนโลยีและสื่อรูปแบบใหม่ๆ โดยให้ความสำคัญใน 3 ด้านคือ 1. การลงทุนเชิงกลยุทธ์ในแบรนด์ไลฟ์สไตล์ระดับโลก 2. การพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อการพักอาศัย หรือ PropTech ร่วมกับผู้พัฒนาเทคโนโลยี และ 3. การเสริมสร้างบทบาทความเป็นผู้นำและขยายฐานกลุ่มเป้าหมายผ่านสื่อไลฟ์สไตล์ระดับพรีเมียม
เศรษฐา กล่าวว่า การลงทุนครั้งนี้นับเป็นการพัฒนาที่อยู่นอกเหนือธุรกิจหลักของแสนสิริเป็นครั้งแรก ขยายธุรกิจสู่ตลาดโลกและมุ่งลงทุนในธุรกิจในการสร้างรายได้ใหม่ ๆ ที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ ในการเสริมสร้างความแข็งแกร่ง ซึ่งการลงทุน 2,800 ล้านบาท ที่ลงไปถือเป็นเรื่องเล็กน้อยมาก เพราะปีนี้มียอดขายกว่า 40,000 ล้านบาท และเงินหมุนเวียนก็พร้อม
ทั้ง 6 บริษัท ที่กล่าวมามีสายเทคโนโลยีที่น่าสนใจ ได้แก่ Farmshelf ผู้พัฒนาระบบฟาร์มอัจฉริยะ ที่สามารถปลูกผักสดสะอาดด้วยตัวเองในที่พักอาศัย หรือที่ทำงานได้แบบง่ายๆ เหมาะสำหรับคนเมืองที่มีพื้นจำกัด พร้อมทำให้เป็นเหมือนการตกแต่งบ้านไปในตัว, Hostmaker บริษัทผู้บริหารการเช่าที่พักของ Airbnb โดยแสนสิริเองมองกระแสและทิศทางของ home-sharing ที่มีแนวโน้มเติบโตอยู่เช่นกัน ซึ่งจะมีรูปแบบการให้บริการคล้ายกับพักอยู่โรงแรม
รวมถึง แอพพลิเคชั่น One Night จองโรงแรมด่วนภายในวันนั้น โดยเปิดให้จองหลังเวลา 15.00 น. ในแต่ละวัน เพื่อจองห้องพักโรงแรมในคืนนั้นได้ในราคาพิเศษ ช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับทั้งฝั่งคนจองได้ราคาดีกว่าปกติ และฝั่งโรงแรมขายห้องได้มากขึ้น นอกจากนี้ JustCo ผู้ให้บริการ co-working space ที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่มีแผนชัดเจนแล้วว่าจะเปิด JustCo ในกรุงเทพทั้งหมด 4 แห่งในปีหน้า
สิ่งที่แสนสิริ ให้ความสนใจเป็นพิเศษโดยเข้าไปลงทุนถือหุ้น 35% ในบริษัท The Standard ที่ประกอบไปด้วยธุรกิจทั้ง 4 กลุ่มเครือ Hotel Operations and Management, Bunkhouse Group, One Night และธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มของโรงแรม “Standard International” ซึ่งเป็นธุรกิจบูติกโฮเทลที่สร้างประสบการณ์ให้กับผู้เข้าพักแบบไม่เหมือนใคร โดยมีกิจกรรมให้เลือกมากกว่าแค่การเข้าพัก
ในส่วนสุดท้าย ยังให้ความสำคัญกับธุรกิจสื่อโดยจับมือกับกลุ่ม “MONOCLE” แบรนด์สื่อไลฟ์สไตล์ ที่ไม่ได้มีแค่นิตยสาร MONOCLE เท่านั้น แต่ยังมีธุรกิจสร้างสรรค์ภาพยนตร์ การประชุมเสวนา สื่อออนไลน์ และสถานีวิทยุ 24 ชั่วโมง รวมทั้งครอบคลุมไปถึงธุรกิจไลฟ์สไตล์กลุ่มใหม่ ๆ อาทิ คาเฟ่ในลอนดอนและโตเกียว โดยโครงการแรกที่ทั้งสองบริษัทจะร่วมมือกันคือโครงการคอนโดมิเนียม ที่จะเปิดตัวใน กทม. ในปีหน้านี้
สรุป
สิ่งที่ แสนสิริได้แสดงวิสัยทัศน์ในงานครั้งนี้ แสดงให้เห็นว่าอุตสาหกรรมในแวดวงอสังหาฯ จะเปลี่ยนไป เมื่อดึงพาร์ทเนอร์เข้ามาเสริมทัพ โดยจะเปลี่ยนทิศทางใหม่ไปอย่างสิ้นเชิง ที่จะไม่ใช่แค่ที่พักอาศัยอย่างเดียวเหมือนที่เคยเป็นมา ซึ่งน่าจับตามองว่าจะออกมาในรูปแบบไหน และคงจะมีเทคโนโลยีใหม่ๆ ออกมาให้เห็นกันแน่นอน