aCommerce ชี้ แบรนด์มุ่งทำเว็บฯ ขายเอง พร้อมรับชำระปลายทาง

อีคอมเมิร์ซยังคงเป็นเทรนด์ที่มาแรงอย่างต่อเนื่องในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้พบว่า การซื้อสินค้าออนไลน์นับเป็นเพียง 1 เปอร์เซ็นต์ของการค้า ซึ่งยังอยู่ในช่วงที่กำลังเติบโต โดยคาดว่าจะเติบโตเป็นตัวเลขสองหลักได้ภายใน 4-5 ปีข้างหน้า ด้วยจำนวนประชากรที่มีกว่า 600 ล้านคน จึงเชื่อว่าเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะกลายเป็นตลาดอีคอมเมิร์ซที่ใหญ่ที่สุดอันดับสามของโลก รองจากจีนและสหรัฐฯ ทั้งนี้ aCommerce ในฐานะที่เป็นผู้ให้บริการ e-Commerce Platform ได้เผยถึงมุมมองที่น่าสนใจถึงการเปลี่ยนแปลงของตลาดอีคอมเมิร์ซที่กำลังจะเกิดขึ้น

พอล ศรีวรกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท aCommerce

พอล ศรีวรกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท aCommerce

ปัญหาอีคอมเมิรซที่ยังคงอยู่ ระบบชำระเงิน COD มีความสำคัญขึ้น
พอล ศรีวรกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท aCommerce กล่าวว่า โลกอีคอมเมิร์ซยังคงมีปัญหาหลายด้านที่ไม่สามารถแก้ไขได้ ซึ่งปัญหาหนึ่งคือ การไม่มีบริการชำระเงินปลายทาง ซึ่งในการทำอีคอมเมิร์ซ ธุรกิจจำเป็นจะต้องดูแลทุกๆ กระบวนการที่เกิดขึ้น ซึ่งพฤติกรรมของผู้บริโภคโดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ต้องการเห็นสินค้าก่อนตัดสินใจซื้อและจ่ายเงิน ทำให้ระบบ Cash on Delivery (COD) หรือระบบชำระเงินปลายทางมีความสำคัญมากขึ้น โดยพบว่าในสหรัฐมียอดการ คืนสินค้าถึง 30 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายของบริษัทในการรับสินค้าคืน แต่จากระบบ COD ทำให้ยอดการคืนสินค้า ลดลงเหลือเพียง 8-9 เปอร์เซ็นต์

ขณะที่ข้อมูลจาก aCommerce ระบุว่า จากการขนส่งสินค้าทั้งหมดพบว่า 70 เปอร์เซ็นต์ของผู้บริโภคนิยมชำระเงินแบบ COD นอกจากนี้ยังพบว่าอัตราการชำระเงินปลายทางด้วยเงินสด ในปี 2015 สูงถึง 74 เปอร์เซ็นต์ เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 53 เปอร์เซ็นต์ และสูงกว่าอัตราของประเทศจีนในปี 2008 แล้ว ซึ่งชี้ให้เห็นว่า การเติบโตของอัตราการชำระเงินปลายทางด้วยเงินสดที่ต่อเนื่อง แสดงให้ผู้ประกอบการเห็นถึงความสำคัญของการมีระบบเก็บเงินปลายทางที่ดี ซึ่งในที่สุดผู้บริโภคจะหันมาใช้ระบบการจ่ายเงินออนไลน์ผ่านบุคคลที่สาม

“นอกจากนี้ยังพบว่า การชำระเงินแบบ COD ไม่ได้จำกัดแค่การจ่ายเป็นเงินสด แต่สามารถจ่ายผ่านบัตรเครดิตได้อีกด้วย ทำให้บริการ Fulfillment ไม่ใช่แค่การบริการขนส่งธรรมดาอีกต่อไป แต่จะกลายเป็นหน้าร้านในการให้บริการและสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า เช่น การให้ลูกค้าได้ทดลองสินค้าก่อนตัดสินใจ ซึ่งช่วยให้เกิดความประทับใจและลดการคืนสินค้า ทั้งนี้มองว่าไม่ใช่แค่การจัดส่งสินค้าถึงบ้านเพียงอย่างเดียว แต่ยังเป็นการ Customer Service ให้กับลูกค้าอีกด้วย อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันบริษัทโลจิสติกส์ต่างๆ ยังไม่มีบริการที่รองรับลูกค้าในลักษณะดังกล่าว ซึ่งในอนาคตบริษัทโลจิสติกส์ต่างๆ จะต้องเพิ่มเซอร์วิสเพื่อให้บริการดียิ่งขึ้น” พอล กล่าว

cover1-2

แบรนด์ต่างๆ ในเมืองไทย หันมาสร้างเว็บไซต์ของตัวเองมากขึ้น จากเดิมที่ขายสินค้าผ่าน Retail หรือ Marketplace เนื่องจากทำให้แบรนด์สามารถทำการสื่อสารและขายสินค้ากับผู้บริโภคได้โดยตรงแบบ 100 เปอร์เซ็นต์

Brand มุ่งทำเว็บฯ ของตัวเองมากขึ้น
ปัจจุบันธุรกิจ Retail มีการทำเว็บไซต์ที่น้อยมาก ขณะที่แบรนด์ต่างๆ ในเมืองไทย หันมาสร้างเว็บไซต์ของตัวเองมากขึ้น จากเดิมที่ขายสินค้าผ่าน Retail หรือ Marketplace เนื่องจากทำให้แบรนด์สามารถทำการสื่อสารและขายสินค้ากับผู้บริโภคได้โดยตรงแบบ 100 เปอร์เซ็นต์ และยังช่วยด้านการสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้า แถมยังได้ข้อมูลของลูกค้าอีกด้วย โดยพอล มองว่า กระแสการทำ Brandsite จะเป็นเทรนด์ใหม่ที่แบรนด์จะใช้เป็นช่องทางไปถึงลูกค้า ซึ่งจะเห็นได้จากการที่แบรนด์ต่างๆ เข้ามาสู่ตลาดออนไลน์อย่างรวดเร็ว แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า Brand จะเลิกขายผ่าน Retail และ Marketplace เพราะ Brand ยังคงต้องการที่จะขายผ่านทุกช่องทาง โดยอาจจะนำสินค้า 20-30 เปอร์เซ็นต์ไปวางที่ Marketplace เพียงแต่หากผู้บริโภคต้องการสินค้าราคาหรือรุ่นพิเศษ ก็อาจจะเข้าไปที่เว็บของแบรนด์เท่านั้น

นอกจากนี้ ยังมองว่า แบรนด์ และ Retail จำเป็นต้องมุ่งหน้าสู่การทำ Omni Channel เชื่อมโยงช่องทางขายออฟไลน์กับออนไลน์เข้าด้วยกัน เพื่อสื่อสารกับผู้บริโภคโดยตรง รวมถึงสร้างความได้เปรียบทางการค้า โดยใช้ประโยชน์ของการมีหน้าร้านสร้างความแตกต่าง เช่น ซื้อสินค้าผ่านออนไลน์ แต่มารับสินค้าที่จุดรับหรือจัดส่งที่บ้านตามความสะดวกของลูกค้า ยกตัวอย่างเช่น เมื่อไปถึงหน้าร้านแล้วพบว่าไม่มีสินค้าที่ต้องการ ก็สามารถเช็คและสั่งซื้อออนไลน์จากร้านค้าในอีกสาขาหนึ่ง แล้วให้ส่งสินค้าที่บ้านได้เลย เป็นต้น

e207

ฉบับที่ 207 เดือนมีนาคม

แพลตฟอร์มต่อไปของอีคอมเมิร์ซ

เผย 10 เทรนด์อีคอมเมิร์ซในปี 2016
สิ่งที่จะเกิดขึ้นกับตลาดอีคอมเมิร์ซในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในปีนี้ aCommerce คาดการณ์ว่า ผู้ประกอบกิจการ ทั้งในระดับท้องถิ่น ภูมิภาค และระดับโลก จะพัฒนาตัวเองเพื่อรับมือกับการแข่งขันที่ดุเดือดมากขึ้น เช่น ในประเทศอินโดนีเซีย บริษัท MatahariMall เปิดตัวเพื่อแข่งกับ Lazada ของ Rocket Internet ขณะเดียวกัน Lazada ได้คืนตำแหน่ง CEO ให้กับผู้บริหารคนเก่าอย่าง Magnus Ekbom เพื่อยึดตลาดในประเทศอินโดนีเซีย ทางด้าน JD ของจีน คู่แข่งของ Alibaba ได้เข้าไปลงทุนในประเทศอินโดนีเซียเพื่อเปิดตัว JD.id ซึ่งทั้งหมดนี้แสดงให้เห็นถึงความกดดันและการแข่งขันในตลาด B2C ที่เพิ่มขึ้น

สำหรับ 10 เทรนด์ตลาดอีคอมเมิร์ซในปี 2016 นี้มองว่า 1. Brand.com จะเป็นเทรนด์ใหม่ โดยจะเห็นแบรนด์ต่างๆ ก้าวเข้าสู่ตลาดออนไลน์อย่างรวดเร็ว โดยมีกระแสของผู้บริโภคเริ่มไปที่เว็บไซต์ของแบรนด์โดยตรง 2. ช่องทางการซื้อขายแบบผสมผสาน Omni-Channel จะเป็นจุดสำคัญที่จะสิ้นสุดยุคของอีคอมเมิร์ซ และเหลือเพียงแค่คอมเมิร์ซ โดยมองว่าในปีนี้จะมีธุรกิจ B2C ที่จะเข้ามาทำออฟไลน์มากขึ้น 3. ธุรกิจ B2C ต้องหาธุรกิจแบบ Nichecommerce เพื่อความอยู่รอด โดยจะเห็นรูปแบบอีคอมเมิร์ซที่สร้างสรรค์มากขึ้น เช่น Pomelo และ Sale Stock Indonesia 4. จีนจะเป็นผู้ขับเคลื่อนอีคอมเมิร์ซระหว่างประเทศ โดย Silk Road 2.0 หรือบริษัทจากจีนที่จะเข้ามาวางขายสินค้าในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เพื่อขยายอำนาจและตลาดของจีน 5. ระบบเก็บเงินปลายทางยังเป็นช่องทางจ่ายเงินหลัก แม้จะมีบริษัทผู้ให้บริการด้านการชำระเงิน (Third Party Payment) แต่ยังไม่มีใครสามารถเข้าถึงผู้บริโภคได้มากพอ

6. ความล้มเหลวของร้านค้าขายปลีกออนไลน์ ที่ขายสินค้าประเภท Fast-Fashion จะเห็นผู้ขายสินค้าทั่วไป (mass) และสินค้าที่เปลี่ยนแปลงไว (Fast-Fashion) เกิดการแข่งขันที่ดุเดือดขึ้น 7. ช่องทางการโฆษณาใหม่ๆ ที่ออกมาแข่งขันกับ Google และ Facebook โดยบริษัทและนักลงทุนหันมาสร้าง demand-generated platform หรือช่องทางการโฆษณาทางเลือก เพื่อช่วยซับพอร์ทช่องทางการโฆษณาได้ดีขึ้น 8. ระบบ Fullillment ยังคงมีอุปสรรค เนื่องจากบริษัทขนส่งยังล้มเหลวในการรองรับความต้องการ ทำให้ธุรกิจ B2C ต้องพบเจอกับปัญหา การคืนสินค้า การโทรแจ้งก่อนส่ง และการบริการเก็บเงินปลายทาง 9. ระบบจัดวางสินค้าให้เหมาะกับช่องทางและผู้บริโภค จะเห็นการเปิดตัวและการพัฒนาของเครื่องมือจัดการช่องทางล้ำสมัย ที่ช่วยให้แบรนด์สามารถผสานการค้าออนไลน์และออฟไลน์ได้ดีขึ้น และ 10. ผู้มีประสบการณ์ด้านธุรกิจอีคอมเมิร์ซ จะถูกแย่งตัวด้วยเงินเดือนที่สูงขึ้น ทำให้เกิดการย้ายงานของบุคลากรเพื่ออัพเงินเดือนที่สูงขึ้น

cover1-3

Brand ยังคงต้องการที่จะขายผ่านทุกช่องทางโดยอาจจะนำสินค้า 20-30 เปอร์เซ็นต์ไปวางที่ Marketplace เพียงแต่หากผู้บริโภคต้องการสินค้าราคาหรือรุ่นพิเศษ ก็อาจจะเข้าไปที่เว็บของแบรนด์เท่านั้น

คาดตลาดอีคอมเมิร์ซเติบโตขึ้น 2 เท่า
พอล กล่าวต่อว่า ปัจจุบัน aCommerce ให้บริการแพลตฟอร์มที่หลากหลายในการช่วยให้อีคอมเมิร์ซขยายธุรกิจได้ โดยเน้นกลุ่มเป้าหมายไปที่ SMEs, Brand และ Retailer เนื่องจากธุรกิจเหล่านี้ต้องการความช่วยเหลือในการขยายธุรกิจ รวมไปถึงการเป็นที่ปรึกษาด้านการทำการตลาด โดยเน้นทำการตลาดให้กับกลุ่มธุรกิจที่ขายดี ได้แก่ สุขภาพและความงาม เสื้อผ้าและแฟชั่น และอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งพอลมองว่า ในอนาคตอาจจะมีสินค้าในกลุ่มโฮม หรือของใช้ภายในบ้านอีกด้วย เนื่องจากเป็นสินค้าในกลุ่มที่มีแนวโน้มขายดี

“เราจะมีการดึงข้อมูลจากหลายๆบริษัทมาอยู่ที่ e-commerceIQ ซึ่งนอกจากการให้ความรู้ด้านอีคอมเมิร์ซแล้ว ยังทำหน้าที่ให้คำปรึกษากับบริษัทต่างๆซึ่งไม่ใช่แค่ช่องทางออนไลน์ แต่รวมไปถึงออฟไลน์ด้วย ทั้งนี้aCommerce วางตำแหน่งไว้ตรงกลางระหว่างผู้บริโภคและอีคอมเมิร์ซ นอกจากนี้ยังเป็น Partnership กับ Google ในการที่ช่วยทำการตลาดออนไลน์ให้กับ SMEs ด้วยการใช้ Google SMEs Program รวมไปถึง Social อื่นๆ อีกด้วย” พอล กล่าว

ทั้งนี้ พอล กล่าวทิ้งท้ายว่า สำหรับภาพรวมของตลาดอีคอมเมิร์ซในปีนี้ คาดว่าจะเติบโตขึ้น 2 เท่า โดยธุรกิจต่างๆจะมีการแข่งขันด้านการทำการตลาด และมีการลงทุนใน Google, Facebook มากขึ้น รวมถึงบริการต่างๆ อย่างเพย์เมนต์และโลจิสติกส์จะเติบโตขึ้นเช่นกัน แต่อย่างไรก็ตาม มองว่าไทยจะต้องแก้ไขปัญหาด้านเพย์เมนต์และโลจิสติกส์ จึงจะทำให้ตลาดอีคอมเมิร์ซเติบโตอย่างแข็งแรง

You may be interested in

Latest post from Facebook

Related Posts

Jet.com ปรับใหญ่-สะท้อนเทรนด์เว็บช้อปปิ้งยุคนี้

เว็บช้อปปิ้ง Jet.com ปรับระบบใหม่ แสดงสินค้าต่างๆกันไปตามเมือง, ต่างกันไปตามหมวด เช่นหมวดเสื้อผ้าจะมีรูปและคลิปคนใส่จริง, และสับเปลี่ยนหน้าเว็บตามเวลากลางวัน-กลางคืนด้วย