
เจฟฟรี่ เพน ผู้ร่วมก่อตั้งและหุ้นส่วนผู้จัดการกองทุน โกลเดนเกต เวนเจอร์ส (Golden Gate Ventures)
ผู้ประกอบการหน้าใหม่กำลังก้าวเข้าสู่วงการเทคสตาร์ทอัพแต่ข้อสำคัญคือ ต้องศึกษาตลาดและคู่แข่งให้ลึกซึ้ง และสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ออกมาให้ชัดเจน ซึ่งแน่นอนว่า ไม่ใช่ทุกผลงานจะสามารถอยู่รอดได้ในยุคที่มีผู้เล่นจำนวนมาก
Startup Economy ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีความคล้ายกันกับประเทศจีนในช่วงปี 2006 โดยจากภาพรวมในจีน มีการเกิดไอเดียธุรกิจที่เหมือนๆ กันราว 500 – 2,000 ราย แต่จะประสบความสำเร็จเพียงแค่ 20 รายเท่านั้น
ภาพรวมเทรนด์ของภูมิภาคและการประยุกต์ใช้กับประเทศไทย
ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีจำนวนประชากรเกือบ 500 ล้านคน มีผู้ใช้อินเทอร์เน็ต 252 ล้านคน เพิ่มขึ้นเฉลี่ยประมาณ 650,000 คนต่อเดือน รวมถึงมีสตาร์ทอัพระดับยูนิคอร์นเด่นๆ อาทิ Grab, Lazada, Reebonz และ PropertyGuru สื่ออสังหาฯ ออนไลน์ คาดว่าจะมีการลงทุนมูลค่า 40,000 ล้านดอลล่าร์ในช่วง 10 ปีข้างหน้า
เจฟฟรี่ เพน ผู้ร่วมก่อตั้งและหุ้นส่วนผู้จัดการกองทุน โกลเดนเกต เวนเจอร์ส (Golden Gate Ventures) กองทุนสตาร์ทอัพชั้นนำในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้มีการบรรยายพิเศษในงาน Faster Future | SCB FinTech Forum หัวข้อ “2017 Tech Trend in ASIA” ได้มีการคาดการณ์ 8 ภาคธุรกิจที่มีศักยภาพในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในอีก 3-5 ปีข้างหน้าไว้ดังนี้
เทรนด์ 8 ภาคธุรกิจที่มีศักยภาพในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เทรนด์ที่น่าจับตามองและได้รับความสนใจในประเทศไทยคงหนีไม่พ้น FinTech เนื่องจากทางฝั่งธนาคารมีความตื่นตัวในการใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ และสนับสนุน บรรดาสตาร์ทอัพให้เข้ามาสร้างบริการใหม่ๆ อยู่เสมอ ในอนาคตการทำงานจะก้าวสู่ยุคของ Big Data และ Credit Scoring โดยในอีก 2-3 ปีข้างหน้า การทำธุรกรรมบน FinTech จะสูงขึ้น มีการใช้ Big Data และจะเข้าสู่ยุคที่เป็นอีกขั้นของการทำ Credit Scoring (เกณฑ์การพิจารณาสินเชื่อ) ซึ่งปัจจุบันเกิดขึ้นแล้วที่อินโดนิเซีย รวมถึง One Stop Shop Financial Platform แพลตฟอร์มออนไลน์ที่ทำให้ลูกค้าสามารถซื้อประกัน กู้เงิน หรือทำธุรกรรมต่างๆ ด้วยตนเองก็จะตามมาด้วย
อีกหนึ่งอย่างที่น่าสนใจคือ ด้าน Healthcare ที่เน้นไปทางด้านผู้สูงอายุ เพราะประเทศไทยและสิงคโปร์มีจำนวนประชากรผู้สูงอายุมากที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โรงพยาบาลและสถาบันดูแลสุขภาพต่างๆ จะนำเทคโนโลยีด้าน Data & Analytics และ IoT มาใช้ดูแลผู้ป่วยมากขึ้น และยังมีความต้องการรักษาผู้ป่วยผ่านอินเทอร์เน็ตจะมีมากขึ้น (Telemedicine) โดยเฉพาะในพื้นที่ห่างไกล
และสุดท้ายที่ขาดไม่ได้และจะมีส่วนช่วยกระตุ้นภาคเศรษฐกิจคือ AgriTech เทคโนโลยีทางการเกษตร (Agriculture Technology) ที่คาดว่าจะได้รับความนิยมสูงขึ้น ด้วยความที่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ส่วนใหญ่ รวมถึงประเทศไทยเป็นประเทศอุตสาหกรรม โดยมีตัวอย่างในประเทศเวียดนามที่เริ่มใช้การวิเคราะห์ข้อมูล ร่วมกับซอฟต์แวร์เพื่อเพิ่มผลผลิตทางการเกษตร ก็เกิดขึ้นและประสบความสำเร็จเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ในไทยเองก็น่าจะมีศักยภาพและช่วยให้การทำเกษตรมีประสิทธิภาพได้มากขึ้นเช่นกัน นอกจากนี้ FinTech ก็จะเข้าไปมีส่วนช่วยภาคการเกษตรในเรื่องของการปล่อยสินเชื่ออีกด้วย
การลงทุนของ VC ในภูมิภาค จะผลักดันธุรกิจให้เติบโตมากยิ่งขึ้น
สำหรับสตาร์ทอัพแล้ว การสร้างสรรค์ผลงานให้เกิดขึ้นนับว่าเป็นความท้าทายอย่างหนึ่ง ส่วนอีกทางที่ต้องให้ความสำคัญเช่นกันคือ ด้านของผู้ลงทุนที่จะเข้ามาช่วยเหลือและลงทุนกับผลิตภัณฑ์ที่มีอยู่ โดยดีลของ Venture ด้านเทคโนโลยีในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีการเติบโตอย่างต่อเนื่องในช่วง 4 – 5 ปีที่ผ่านมา ปัจจุบันสตาร์ทอัพที่อยู่ในระยะเริ่มต้นมีประมาณ 400 กว่าราย ขณะที่ระดับซีรี่ย์ A มีประมาณ 150 ราย ซีรี่ย์ B อยู่ที่ประมาณเกือบ 50 ราย ส่วนซีรี่ย์ C และที่เหนือกว่านั้นอยู่ที่ 20 กว่าราย
ความท้าทายของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นั้นเกิดจากความแตกต่างทางภาษาและวัฒนธรรม ตลอดจนกฎระเบียบข้อบังคับในการดำเนินธุรกิจ รวมถึงมีอัตราการแข่งขันจากธุรกิจต่างชาติค่อนข้างสูง ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบกับตลาดเศรษฐกิจใหม่ที่กำลังเติบโตของเอเชียอย่างจีนและอินเดีย ยังมีความเป็นหนึ่งเดียวในด้านต่างๆ และการแข่งขันทางธุรกิจยังอยู่ในระดับภายในประเทศ ส่วนใหญ่ก็พบว่ามีความซับซ้อนกว่า
แต่ขณะเดียวกันก็เป็นโอกาสของบรรดา Venture Capital ที่จะเข้ามาลงทุน และสามารถควบคุมความเสี่ยงได้ ทั้งด้านการลงทุนที่ใช้เงินจำนวนน้อยกว่าในประเทศใหญ่ การเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่ทั่วถึงจากขอบเขตของพื้นที่ที่น้อยกว่า ซึ่งปัจจัยแล้วนี้จะส่งเสริมการลงทุน และสร้างการเติบโตให้กับภูมิภาคของเราได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งในประเทศไทยเองก็มีทั้ง VC ในประเทศ และต่างประเทศเข้ามาร่วมลงทุนจำนวนมากเช่นกัน
Kejora Ventures (เคจอรา เวนเจอร์) หนึ่งใน VC ดาวรุ่ง ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ก็เพิ่งมีการเปิดตัวสำนักงานในประเทศไทยอย่างเป็นทางการเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา นับว่าเป็นประเทศที่ 4 หลังการเปิดสำนักงานในประเทศฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย และสิงคโปร์ เพื่อขยายการลงทุนให้ครอบคลุมทั่วภูมิภาคฯ จะช่วยเหลือและสนับสนุนความสำเร็จของกลุ่ม Startup ด้านเทคโนโลยี โดยการผนึกกำลังกับที่ปรึกษาด้านกลยุทธ์และนักลงทุนเพื่อให้บรรลุตามเป้าหมายที่วางไว้ การที่ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีระบบเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับสองในภูมิภาคฯ รองจากอินโดนีเซีย ทำให้ไทยเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญในการปฏิรูประบบเศรษฐกิจและสังคมในภูมิภาคฯ

เซบาสเตียน โทเกลัง หนึ่งในผู้ก่อตั้ง Kejora Ventures
เซบาสเตียน โทเกลัง หนึ่งในผู้ก่อตั้ง Kejora Ventures กล่าวว่า มองเห็นศักยภาพของ Startup ด้านเทคโนโลยี ในประเทศไทย และต้องการร่วมเป็นผู้สนับสนุนรายแรกๆในการสร้างสรรค์นวัตกรรมองค์กร (Corporate Innovation) ให้มีมากยิ่งขึ้น
“เราตั้งใจเลือกประเทศไทย เพราะสอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของเราที่ต้องการจะสร้างสังคมเทคโนโลยีที่ทุกคนแชร์องค์ความรู้ต่างๆ ร่วมกัน ทั้งนี้การเปิด AEC เป็นโอกาสอันดีที่บริษัทชั้นนำต่างๆ ในกลุ่มประเทศ ASEAN จะผนึกกำลังกันและร่วมกันส่งเสริมกลุ่มบริษัทด้านเทคโนโลยีในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้น สิ่งนี้สามารถเกิดขึ้นได้ ถ้าเราสร้างเครือข่ายที่เข้มแข็งในภูมิภาคฯ ประกอบกับการมีระบบเศรษฐกิจที่ดี” โทเกลัง กล่าว
กองทุนของ Kejora Ventures ได้ตั้งเป้าหมายการระดมทุนไว้ที่ 80 ล้านเหรียญสหรัฐจะมุ่งลงทุนในสตาร์ตอัพใหม่ 70% และอีก 30% เป็นการลงทุนให้กับรายที่ธุรกิจกำลังไปได้ดี ซึ่งการลงทุนช่วงแรกได้เน้นไปในทาง FinTech เป็นส่วนใหญ่ ได้แก่ C88 FinTech Group, Qareer Group Asia, Etobee, Investree, Pawoon และ MoneyTable ดาวรุ่ง Startup เทคโนโลยีด้านการเงินจากประเทศไทย
เห็นได้ว่า การลงทุนของ VC ก็ไม่ได้หลีกหนีไปจากเทรนด์ที่เราพบเบื้องต้น โดยเชื่อว่า
การนำเทคโนโลยีเข้ามาผนวกกับการดำเนินชีวิตในท้องถิ่น ให้เกิดประโยชน์มากที่สุด จะเป็นใบเบิกทาง และแสดงให้ผู้ลงทุนได้เห็นศักยภาพของผลงาน และตัดสินใจลงทุนสนับสนุนเทคโนโลยีนั้นในที่สุด