การทำงานแบบ Startup ในมุมมองของ Jitta

พรทิพย์ กองชุน กรรมการอำนวยการฝ่ายปฏิบัติการ Jitta

พรทิพย์ กองชุน กรรมการอำนวยการฝ่ายปฏิบัติการ Jitta

Jitta เป็นโปรแกรมที่วิเคราะห์การลงทุนจากปัจจัยพื้นฐาน (Fundamental Analysis) เพื่อให้นักลงทุนเลือกหุ้นได้ง่ายรวดเร็วขึ้น และตัดสินใจได้อย่างมีประสิทธิภาพ

สตาร์ทอัพเป็นหนึ่งในทางเลือกที่คนรุ่นใหม่หันมาให้ความสนใจ แต่วิถีชีวิตของการเป็นสตาร์ทอัพต้องมีความแอ็คทีฟอยู่ตลอดเวลา เพราะในการทำโปรดักส์หรือฟีเจอร์จะไม่เหมือนกันกับการทำงานในบริษัทหรือองค์กร ต้องมีการวางแผนที่ชัดเจน

ตรวจสอบ Key Stats

ตรวจสอบ Key Stats

แพลตฟอร์มใหม่ ช่วยค้นหาบริษัทที่ดี และราคาที่เหมาะสม
ช่วงระยะเวลา 2-3 ปีมานี้ หลายคนคงได้รู้จักกับ Jitta เครื่องมือที่ช่วยวิเคราะห์การลงทุนตามแนวทางของ Warren Buffett โดยใช้วิธีการลงทุนที่เรียกว่า Value Investment หรือการลงทุนแบบเน้นคุณค่า ที่เน้นการวิเคราะห์พื้นฐานของบริษัท และเลือกลงทุนในกิจการที่มีราคาต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง ด้วยหลักการสำคัญที่ว่า ลงทุนในบริษัทที่ดี ในราคาที่เหมาะสม แต่เหตุผลที่การลงทุนแบบ Warren Buffett ไม่สามารถทำตามได้ง่ายก็คือ การคำนวณมูลค่าของบริษัทมีหลากหลายสูตร หลากหลายตัวแปร และวิธีการมากมาย ทั้งยังจะต้องทำการคำนวณทุกๆ บริษัท เพื่อค้นหาบริษัทที่มีมูลค่าที่เหมาะสม ซึ่งการอ่านงบการเงินนั้นจำเป็นต้องมีความเข้าใจระบบบัญชีและใช้ประสบการณ์สูง เพื่อให้เข้าใจการดำเนินงานของบริษัท อีกทั้งบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ นั้นมีตั้งแต่หลักร้อยไปจนถึงหลักพันบริษัทในหลายๆ ประเทศ แปลว่าจะต้องอ่านงบการเงินทั้งหมดของบริษัทเหล่านั้นก่อน เพื่อจะรู้ได้ว่าบริษัทไหนเป็นบริษัทที่ดี จึงเป็นเรื่องยากสำหรับผู้เริ่มต้น

Jitta ได้พัฒนา 2 ฟีเจอร์หลักคือ การให้คะแนน Jitta Score เพื่อบ่งบอกถึงบริษัทที่ดี และเส้น Jitta Line เพื่อหามูลค่าที่เหมาะสมของแต่ละบริษัท โดยจะทำการคำนวณ Jitta Score จากการอ่านงบการเงินและข้อมูลการเงิน

เลือกบริษัทที่ Jitta Line uptrend มีแนวโน้มขาขึ้น

เลือกบริษัทที่ Jitta Line uptrend มีแนวโน้มขาขึ้น

ที่สำคัญของบริษัท 10 ปี เพื่อดูความสามารถในการดำเนินงานและความยั่งยืนในการทำธุรกิจ พิจารณาจาก 5 ปัจจัยหลักคือ โอกาสในการเติบโตของธุรกิจ ผลการดำเนินงานในปัจจุบัน ความแข็งแกร่งทางการเงิน การสร้างผลตอบแทนให้ผู้ถือหุ้น และความสามารถในการแข่งขันทางธุรกิจ ซึ่ง Jitta Score จะมีคะแนนตั้งแต่ 1 ถึง 10 บริษัทที่ดีจะต้องมีคะแนนตั้งแต่ 8 ขึ้นไป

ขณะที่หลักในการคำนวณ Jitta Line จะใช้วิธีคิดลดจากกระแสเงินสดและทรัพย์สินที่บริษัทสร้างได้เป็นสำคัญ โดยคิดเสมือนว่า ถ้าหากเราลงทุนซื้อทั้งบริษัท จะต้องคืนทุนได้ภายในเวลาไม่เกิน 10 ปี ตัวอย่างเช่น ถ้าหากบริษัทสามารถทำกำไรเป็นเงินสดได้ปีละ 1 ล้านบาทต่อเนื่องทุกปี มูลค่าที่เหมาะสม (ขั้นต่ำ) ของธุรกิจจะอยู่ที่ประมาณ 10 ล้านบาท เป็นต้น ซึ่งบริษัทที่ดีเมื่อเวลาผ่านไป มูลค่าที่แท้จริงหรือ Jitta Line จะเพิ่มสูงขึ้น ตามการขยายกิจการของบริษัท และเมื่อใดก็ตามที่ราคาหุ้นของบริษัทที่ดีต่ำกว่า Jitta Line เช่น 25 เปอร์เซ็นต์ ต่ำกว่า Jitta Line หมายถึงราคาหุ้นนั้นต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง 25 เปอร์เซ็นต์ ก็เป็นช่วงที่ควรพิจารณาซื้อหุ้นของบริษัทนั้น เป็นต้น

ฉบับที่ 211 เดือนกรกฏาคม

แพลตฟอร์ม IoT หัวใจของข้อมูล

วิถีการทำงานในแบบสตาร์ทอัพ
พรทิพย์ กองชุน กรรมการอำนวยการฝ่ายปฏิบัติการ ของ Jitta กล่าวถึง มุมมองในการผันตัวเองมาเป็นสตาร์ทอัพ หลังจากที่เคยได้ทำงานในองค์กรใหญ่ระดับโลกอย่าง Google มาแล้วว่า วิธีการทำงานต่างๆ จะแตกต่างกัน สตาร์ทอัพทำโปรดักส์หรือฟีเจอร์จะต้องออกเร็ว แต่อาจจะไม่ต้องออกมาแบบสมบูรณ์มาก เพราะต้องการให้ผู้ใช้งานได้เข้ามาใช้ โดยที่ผู้ใช้เหล่านั้นจะเป็นฝ่ายบอกเองว่า โปรดักส์ยังต้องมีการปรับปรุง แก้ไขตรงจุดใดบ้าง ถ้าจะต้องปรับก็ต้องปรับกันแบบข้ามวันข้ามคืนจนกว่าจะดีที่สุด และก้าวให้เร็วกว่าคู่แข่งอยู่เสมอ ขณะเดียวกันนักพัฒนาคนไทยส่วนใหญ่ก็เป็นคนที่เก่งและมีฝีมือ ทีมนักพัฒนาของ Jitta ก็เป็นคนไทยทั้งหมด ซึ่งไม่ว่าจะเป็นการเขียนโปรแกรม การคิด หรือความพยายามที่จะทำให้สำเร็จก็มีสูงไม่แพ้คนต่างชาติ

s2

การเป็นสตาร์ทอัพ สามารถสเกลได้ง่ายกว่า เพราะบริษัทใหญ่อาจขายลูกค้าได้ 5-10 ราย แต่สตาร์ทอัพขายได้เป็นล้านราย โดยที่สามารถเข้าถึงข้อมูลได้และมีราคาถูก ส่วนใหญ่ที่ประสบความสำเร็จ จะพยายามทำ User Experience (UX) ได้ดีกว่า

การคิดโปรดักส์ที่ตอบโจทย์และเข้าใจอย่างแท้จริง
ในการทำโปรดักส์ของสตาร์ทอัพนั้น จะคิดถึงปัญหาของลูกค้าเป็นหลัก และต้องหาความแตกต่างในกรณีของ Jitta เป็นเรื่องเกี่ยวกับการวิเคราะห์การลงทุน ซึ่งถ้าทำเหมือนของคนอื่นที่มีอยู่แล้วก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องมาใช้ จึงต้องเจาะลึกลงไปให้ได้ว่าสิ่งที่คนเหล่านั้นใช้อยู่ดีแล้วหรือไม่ หรือยังขาดอะไรที่ยังไม่มีใครนำเสนอ ก็ต้องเข้าไปเสริมไปปรับ อย่างเช่น บริษัทใหญ่ๆ ที่วิเคราะห์หุ้น ก็จะมองว่าข้อมูลทุกอย่างคือสิ่งที่อยากจะเก็บไว้ใช้เอง เพราะเป็น Value หรือสูตรของตัวเอง แต่คิดค่าธรรมเนียมจากการแนะนำดีกว่า ถ้าใครอยากได้ก็ต้องมาซื้อ

นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ก็จะเก็บข้อมูลไว้เอง ผู้ใช้งานเข้าถึงข้อมูลไม่ได้ หรือต่อให้เอามาขายก็คิดในราคาที่สูง นักลงทุนรายย่อยไม่สามารถซื้อได้ นั่นคือสิ่งที่เป็นปัญหา Jitta จึงสร้างสิ่งที่ตอบโจทย์ตรงจุดนี้ อะไรที่เป็นประโยชน์ก็นำออกมาให้ผู้ใช้งานได้ใช้ และเนื่องจากการเป็นสตาร์ทอัพ จึงสามารถสเกลได้ง่ายกว่า เพราะบริษัทใหญ่อาจขายลูกค้าได้ 5-10 ราย แต่สตาร์ทอัพขายได้เป็นล้านราย โดยที่สามารถเข้าถึงข้อมูลได้และมีราคาถูก ที่สำคัญสตาร์ทอัพส่วนใหญ่ที่ประสบความสำเร็จ จะพยายามทำ User Experience (UX) ได้ดีกว่า เพราะสามารถไปคุยกับคนที่ต้องการได้โดยตรง

เลือกบริษัทที่ Jitta Score มากกว่า 7

เลือกบริษัทที่ Jitta Score มากกว่า 7

การที่สตาร์ทอัพไปหาปัญหามา แต่วิธีการแก้ปัญหาของสตาร์ทอัพคือการต้องเอาเทคโนโลยีมาช่วย ซึ่งเมื่อเป็นเทคโนโลยีก็ทำให้โตได้เร็ว เพราะเทคโนโลยีมีต้นทุนที่ต่ำ ไม่ต้องจ้างคน การที่จะเร็วก็สามารถไปได้ง่าย โตได้แบบก้าวกระโดด และไปได้ทั่วโลก

ถ้าโปรดักส์ดี VC ก็จะวิ่งมาหาเอง

“เราพยายามอยากจะเน้นจุดนี้ ถามว่า Jitta ได้เงินทุนจากไหน เราได้จากยูสเซอร์ คือคนมาใช้ Jitta คือนักลงทุน เขาใช้แล้วได้ผล ใช้แล้วดีก็เลยอยากให้โปรดักส์เราอยู่ไปนานๆ โปรดักส์จะได้พัฒนามากขึ้น และบังเอิญว่าคนที่เป็นลูกค้าคือ นักลงทุนในหุ้นที่ค่อนข้างมีเงินด้วย”

ขณะเดียวกันนั้น ถึงแม้ว่าเทรนด์ของสตาร์ทอัพกำลังเป็นที่สนใจในประเทศไทย แต่อย่างในซิลิคอน แวลลีย์ ได้ใช้เวลาค่อยๆ ซึมซับกันมา จึงมีความกังวลในเรื่องของแนวความคิดคนรุ่นใหม่ ที่รุ่นพี่ทุกๆ คนพยายามจะบอกรุ่นน้องว่า ทำสตาร์ทอัพไม่ได้หมายความว่ารวย อย่าดูแค่คนที่ทำแล้วประสบความสำเร็จ หรือดูเฉพาะคนที่สำเร็จในอเมริกา อย่าง Mark Zuckerberg เพราะเป็นการทำให้คนหลายร้อยล้านหรือพันล้านคนใช้ แต่ประเทศไทยมีเพียงไม่กี่สิบล้านคน และความเป็นสตาร์ทอัพคนอาจจะพูดถึงเยอะ แต่สตาร์ทอัพจริงๆ ก็ไม่ต่างจากการทำธุรกิจ เพียงแค่กระบวนการอาจจะมีความต่างในตัว ถ้าไม่มีประสบการณ์ในการทำธุรกิจก็ไม่ราบรื่นและไม่ง่าย เพราะท้ายที่สุดเมื่อมีโปรดักส์แล้วต้องการขยายตลาด นั่นคือเรื่องของการวางแผน เรื่องของการผู้ใช้งาน เรื่องของการหารายได้ สิ่งเหล่านี้ถ้าเป็นนักศึกษาจบใหม่มาทำยิ่งเป็นเรื่องยาก

ขายหุ้นของบริษัทเมื่อ Jitta Score และ Jitta Line ลดลง หรือมีโอกาสทางการลงทุนที่ดีกว่า

ขายหุ้นของบริษัทเมื่อ Jitta Score และ Jitta Line ลดลง หรือมีโอกาสทางการลงทุนที่ดีกว่า

ระบบนิเวศของสตาร์ทอัพต่อไปในอนาคต
ที่น่าสนใจคือ สตาร์ทอัพในปัจจุบันมีสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ให้เป็นเรื่องง่าย เพราะมีโปรแกรมที่ออกมาขายให้สตาร์ทอัพด้วยกันเองเป็นจำนวนมากและราคาถูก อย่างเช่น ในอเมริกามีเป็นสตาร์ทอัพที่ทำอาหารให้สตาร์ทอัพกิน หมายความว่า สตาร์ทอัพบางคนอาจจะยุ่งมากจนไม่มีเวลากิน จึงมีคนทำอาหารที่คล้ายน้ำเต้าหู้แต่มีสารอาหารครบทุกอย่าง กินแทนกินข้าว ไม่เสียเวลาแต่ได้สารอาหารครบถ้วน ซึ่งทาร์เก็ตก็คือ กลุ่มสตาร์ทอัพ ก็เป็นอีกรูปแบบหนึ่งที่เกิดขึ้น

You may be interested in

Latest post from Facebook

Related Posts

ธนาคารกรุงเทพรับสมัครสตาร์ตอัพ เข้าโครงการ Bangkok Bank InnoHub Season 2

ธนาคารกรุงเทพร่วมกับบริษัท Nest ที่มากด้วยประสบการณ์ด้านสตาร์ทอัพกลุ่มฟินเทค ค้นหาธุรกิจสตาร์ทอัพ 5 กลุ่ม …