จากประเด็นเรื่องไทยแลนด์ 4.0 ที่หวังจะก้าวเป็นดิจิทัลฮับแห่งภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ไม่ว่าภาคส่วนไหนก็จำเป็นที่จะต้องเปลี่ยนแปลงตัวเองให้รองรับเทคโนโลยีด้วยกันทั้งนั้น ซึ่งภาคธุรกิจเองต่างก็ออกมา Disrupt และพร้อมปรับตัวกันแล้ว แต่ปัญหาใหญ่กลับพบว่า ประเทศไทยยังขาดบุคลากรสายไอทีจำนวนมาก ที่จะมารองรับในส่วนนี้ ทำให้ต้องหันกลับมามองภาคการศึกษาไทยในปัจจุบัน
นอกจากนี้ยังบอกอีกว่า เด็กส่วนใหญ่ที่เรียนสายไอทีมีเพียง 10 % เท่านั้นที่อยากทำงาน Developer ที่เหลือเลือกที่จะทำแอดมินดูแลระบบ หรือจบไปทำงานสายอื่น ซึ่งเกิดจากพฤติกรรมของเด็กยุคใหม่ที่ชอบทำงานสบาย ไม่หนัก ด้านองค์กรธุรกิจบางแห่งต้องการคนสายไอทีถึงขั้นมาติดต่อกับทางมหาวิทยาลัย หรือเสนองานให้กับนักศึกษาถึงหน้าห้องสอบ บางที่ขาดแคลนถึงขั้นต้องนำพนักงานในแผนกอื่นมาสอนอบรม ช่วยในส่วนงานไอทีที่กำลังต้องการ
“ประเทศไทยต้องการแรงงานไอทีไม่ต่ำกว่า 3,000 รายต่อปี รวมไปถึงสาย Tech Startup ไม่ต่ำกว่า 1,000 ราย ซึ่งปัจจุบันได้ส่งออกบุคลากรที่จบใหม่เพียง 10-20 % เท่านั้น เรายังต้องการนักพัฒนาซอฟต์แวร์มากกว่าผู้ดูแลระบบในตลาดไอที อีกทั้งบุคลากรในประเทศยังขาดการฝึกอบรมทางวิชาชีพและเทคโนโลยีที่จำเป็นอย่างเพียงพอ”
โครงการ Zimbra Innovation Program
ล่าสุด ได้มีการร่วมมือจัดตั้งโครงการ Zimbra Innovation Program ระหว่างมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีมหานคร (MUT) และซินนาคอร์ (Nasdaq : SYNC) พัฒนาหลักสูตรการเรียนการสอนเพื่อเพิ่มพูนความรู้ทางเทคนิคและทักษะในการคิดเชิงวิพากย์ที่จำเป็นต่อการพัฒนาโซลูชั่นซอฟต์แวร์ให้แก่นักศึกษา เพื่อนำไปต่อยอดพัฒนาเป็นบริการให้ดีขึ้นโดยใช้ดิจิทัลตามแผนพัฒนารัฐบาลดิจิทัล
โครงการดังกล่าว เริ่มต้นพัฒนาหลักสูตรแก่นักศึกษา คณะวิทยาการและเทคโนโลยีสารสนเทศ ของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีมหานคร (IST MUT) โดยมีการเตรียมพร้อมด้านอุปกรณ์สำหรับการเรียนการสอนและการวิจัย ได้แก่ ระบบการต่อเชื่อมสัญญาณ Wi-Fi ที่ครอบคลุมทุกพื้นที่ของมหาวิทยาลัย ห้องปฏิบัติการสำหรับการวิจัย, ติดตั้งคอมพิวเตอร์เพียงพอสำหรับวิชาการและการเรียนการสอนในคณะ และแพลตฟอร์มอีเมล์ Zimbra จากทางซินนาคอร์เพื่อให้บริการแก่นักศึกษาและบุคลากรของทางมหาวิทยาลัยมหานครอีกด้วย
จากนั้นจะมีการเปิดอบรมระยะสั้นให้กับบุคคลทั่วไป ที่สนใจอยากเป็นนักพัฒนา หรืออยากเรียนรู้ศึกษาเพิ่มเติมเพื่อนำไปต่อยอดธุรกิจของตนเอง โดยตั้งเป้ารองรับบุคคลทั่วไป 100 คน และ นักศึกษา 300 ต่อปี ทั้งนี้ สิ่งที่จะเรียนรู้นอกเหนือจากรายวิชานั้น คือ Opensource ซึ่งเป็นสิ่งที่จำเป็นต่อวิชาชีพอย่างยิ่ง ไม่ว่าจะพัฒนาเป็นบริการ หรือนวัตกรรมอะไรก็ตาม จำเป็นต้องมีพื้นฐาน Opensource เสมอ
OpenSource คือ กลุ่ม software ที่เปิดเผย source code ของโปรแกรม ทำให้สามารถแก้ไข ดัดแปลง source code ได้หมด ซึ่งเป็นการให้สิทธิเสรีแก่ผู้ที่จะนำไปใช้เพื่อการพัฒนาซอฟต์แวร์ร่วมกันใน ลักษณะของสังคมซอฟต์แวร์ ใครก็ได้บนโลกนี้สามารถเข้ามาพัฒนาโปรแกรมได้ และประหยัดค่าใช้จ่าย เพราะไม่ต้องจ่ายค่าลิขสิทธิ์
ในส่วนของ ซินนาคอร์ (Nasdaq: SYNC) ผู้ให้บริการด้านการพัฒนาเทคโนโลยี ได้มีการให้ระบบซอฟแวร์ต่างๆ ของบริษัทแก่ทางมหาลัยในการนำไปเป็นรูปแบบการเรียนการสอน โดยจะมีผู้เชี่ยวชาญเข้าไปเทรนด์การใช้งานให้แก่ผู้สอน เพื่อนำไปอบรมแก่นักศึกษาอีกที
เบรนท์ ริเมส รองประธานฝ่ายบริหารการขายและการตลาดของซินนาคอร์ กล่าวว่า โครงการนี้จะให้การอบรมความรู้ที่จำเป็นทางด้านการพัฒนาระบบ Opensource ที่มีความจำเป็นแก่ประเทศไทยในการสร้างสรรค์นวัตกรรมทางซอฟต์แวร์ และยังเพิ่มผู้เชี่ยวชาญช่วยให้บริการแก่ลูกค้าในตลาดประเทศไทยที่กำลังเจริญเติบโต
วันนี้ เราอาจจะขาดแคลนบุคลากรสายไอทีจำนวนมากที่จะเข้ามารองรับภาคธุรกิจที่กำลังจะเติบโตขึ้น สิ่งหนึ่งที่จะเข้ามาช่วยให้สถานการณ์ดีขึ้น คือ การร่วมมือด้านวิชาการระหว่างสถาบันการศึกษากับภาคธุรกิจ ก็ยิ่งส่งผลให้นักศึกษามีทักษะ ความรู้ที่กว้างขวาง สามารถทำงานได้จริง หากเพิ่มจำนวนบุคลากรสายไอทีขึ้นได้ เชื่อว่าประเทศไทยจะก้าวไปอย่างที่หวังได้อย่างแน่นอน
