กระแส Mobile Commerce ที่มีสมาร์ทโฟนเป็นปัจจัยสำคัญ ทำให้ผู้ให้บริการเดินหน้าป้อนบริการแอพพลิเคชั่นเข้าสู่ตลาดช้อปปิ้งออนไลน์ ซึ่งนับเป็นโอกาสดีสำหรับผู้ประกอบการที่จะใช้โมบายล์แอพพลิเคชั่นเพื่อเป็นเครื่องมือในการเข้าถึงผู้บริโภค โดยเฉพาะธุรกิจที่มีฐานลูกค้าประจำ ที่ต้องเน้นการสื่อสารเพื่อเพิ่มยอดขาย
เทรนด์ Mobile Commerce มาถึงแล้ว
เราจะพบว่า การซื้อ-ขายสินค้าออนไลน์ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นบนสมาร์ทโฟน ขณะที่ประเทศไทยนับเป็นตลาดที่มีความน่าสนใจเป็นอย่างมาก เนื่องจากพบว่า ผู้ใช้งานสมาร์ทโฟนกว่า 59 เปอร์เซ็นต์ มีการช้อปปิ้งผ่านโทรศัพท์มือถือของตน ขณะที่สมาคมโฆษณาดิจิทัล (ประเทศไทย) ได้ระบุว่า ปัจจุบันประเทศไทยมีจำนวนผู้ใช้สมาร์ทโฟนสูงถึง 48.2 ล้านคน นอกจากนี้ยังมีการคาดการณ์ว่าในปี พ.ศ. 2561 ประเทศไทยจะเป็นประเทศที่ 9 ที่มีจำนวนผู้ใช้สมาร์ทโฟนมากที่สุดในโลกด้วยจำนวนสมาร์ทโฟนสูงถึง 27 ล้านเครื่อง
ด้านสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์
(ETDA) ได้เผยข้อมูลว่า คนไทยใช้สมาร์ทโฟนในการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตสูงเป็นอันดับ 1 ถึง 82.1 เปอร์เซ็นต์ หรือเฉลี่ย 5.7 ชั่วโมงต่อวัน ขณะที่มูลค่าตลาดอีคอมเมิร์ซของไทยปี 2557 มีมูลค่าตลาดรวมสูงถึง 2,003,493.4 ล้านบาท ซึ่งส่งผลให้เทรนด์การช้อปปิ้งออนไลน์เติบโตขึ้นอย่างก้าวกระโดด เนื่องจากปัจจุบันธุรกิจอีคอมเมิร์ซได้ขยับขึ้นมาอยู่บนแพลตฟอร์มโทรศัพท์มือถือ ประกอบกับการขยายตัวของเทคโนโลยีดิจิทัลทั้งในด้านเครือข่าย 4G ที่จะเปิดใช้งานจริงมากขึ้นในปีนี้ และสมาร์ทโฟนที่มีศักยภาพสูงขึ้นแต่ราคาถูกลง ทำให้ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้ง่ายขึ้น จนนำไปสู่เทรนด์ Mobile Commerce ที่ทุกคนสามารถโพสต์ขายสินค้าบนโซเชียลมีเดียได้อย่างไม่จำกัด ทำให้โอกาสในการซื้อ-ขายสินค้าผ่านมือถือมีแนวโน้มเติบโตเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องอย่างที่ผู้ประกอบการไม่ควรมองข้าม
Shopee ตลาดช้อปปิ้งบนโมบายล์
เป็นที่ทราบกันดีว่า คนไทยมีพฤติกรรมที่ชื่นชอบการใช้โซเชียลมีเดียกันมาก ไม่ว่าจะเป็น เฟซบุ๊ก อินสตาแกรม หรือไลน์ ที่ผู้ประกอบการใช้เป็นช่องทางในการซื้อ-ขายสินค้า แต่ช่องทางเหล่านั้นไม่ได้ถูกพัฒนาเพื่อรองรับการซื้อ-ขายโดยเฉพาะ เนื่องจากไม่สามารถตอบโจทย์เรื่องความปลอดภัย ความมั่นใจของผู้ซื้อ-ขาย การชำระเงิน และการบริหารจัดการระบบได้ ทำให้ผู้ให้บริการแพลตฟอร์มอินเทอร์เน็ตที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่างการีนา พัฒนาแอพพลิเคชั่นตลาดขายสินค้าออนไลน์ในชื่อ Shopee ที่นำจุดเด่นของโซเชียลมีเดียในด้านการสื่อสารมารวมเข้ากับการซื้อ-ขาย เพื่อให้ผู้บริโภคได้รับประสบการณ์การช้อปปิ้งที่สนุก ปลอดภัย และใช้งานง่าย
![]() |
ฉบับที่ 205 เดือนมกราคมNextGen ของโฆษณาบน Mobile |
โดย เทเรนซ์ แพง ผู้อำนวยการบริหารประจำภูมิภาค บริษัท ช้อปปี้ กล่าวว่า Shopee ตลาดขายสินค้าออนไลน์แบบลูกค้าถึงลูกค้า (C2C) เปิดตัวอย่างเป็นทางการในประเทศไทยแล้ว หลังจากที่ได้ทำการเปิดตัวในประเทศมาเลเซีย อินโดนีเซีย สิงคโปร์ เวียดนาม ฟิลิปปินส์ และไต้หวัน ไปเมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา แต่เนื่องจากเมืองไทยเป็นตลาดที่ค่อนข้างใหญ่ เบื้องต้นจึงต้องการโฟกัสธุรกิจไปที่การให้ความรู้กับผู้ซื้อและผู้ขาย และเปิดโอกาสให้ทดลองใช้เพื่อเปลี่ยนประสบการณ์การช้อปปิ้งออนไลน์ ซึ่งช่วยให้ผู้ประกอบการรุ่นใหม่สามารถทำให้การขายสินค้ามีประสิทธิภาพมากขึ้น ตั้งแต่ช่องทางการเข้าถึงผู้บริโภค การดูแลสินค้าคงคลัง ไปจนถึงลูกค้าสัมพันธ์
ทั้งนี้ ผู้ซื้อสามารถเลือกซื้อสินค้าและชำระเงินผ่านบริการที่มีความปลอดภัยที่เรียกว่า ช้อปปี้ การันตี ซึ่งจะช่วยให้ผู้ซื้อสามารถสั่งซื้อและชำระค่าสินค้าได้อย่างมั่นใจ และหากว่าสินค้าได้รับไม่ตรงตามที่ตกลงกันไว้ก่อนหน้า ผู้ซื้อจะได้รับเงินคืนจากผู้ขายเต็มจำนวน นอกจากนี้ยังสามารถเข้าถึงประสบการณ์การช้อปปิ้งออนไลน์ผ่านโซเชียลฯ ด้วยฟังก์ชั่นไลฟ์แชต ที่ให้ผู้ซื้อและผู้ขายสามารถติดต่อกันได้โดยตรง หรือฟังก์ชั่นแฮชแท็ก ที่จะช่วยให้ผู้ใช้บริการสามารถค้นหาสินค้าที่ต้องการหรืออัพเดตเทรนด์ล่าสุดได้ง่ายยิ่งขึ้น เช่นเดียวกับการใช้งานโซเชียลมีเดียยอดนิยมอื่นๆ
“เราต้องการให้ Shopee เป็นพื้นที่เจอกันของคนซื้อ-ขายสินค้าออนไลน์ ซึ่งหลังจากที่มีการเปิดตัวในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ไป พบว่ามีจำนวนผู้ใช้งานแอพพลิเคชั่นต่อเนื่องแล้วหลายล้านคน โดยมีสินค้าวางจำหน่ายมากกว่า 3 ล้านรายการ ขณะที่ในไทยพบว่า มียอดดาวน์โหลดแล้ว 1 ล้านดาวน์โหลด
ซึ่งในจำนวนดังกล่าวพบว่า เป็นร้านค้า 30-40 เปอร์เซ็นต์ โดยมีการแบ่งสินค้าเป็น 16 หมวดหมู่ อาทิ สินค้าแฟชั่น สุขภาพและความงาม มือถือและอุปกรณ์ เครื่องใช้ในบ้าน สัตว์เลี้ยง เป็นต้น และมีจำนวนสินค้าเพิ่มขึ้น 20 เปอร์เซ็นต์ทุกเดือน ทั้งนี้คาดว่าภายในสิ้นปีนี้จะมีจำนวนเพิ่มขึ้นเป็น 2 ล้านดาวน์โหลด
อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าเหตุผลที่จะทำให้ Shopee เติบโต คือเรื่องของความสะดวกรวดเร็ว สามารถใช้งานได้ทุกที่ทุกเวลา ไม่เสียค่าใช้จ่าย ไม่ว่าจะเป็นผู้ซื้อหรือผู้ขาย และยังสามารถเป็นโซเชียลมีเดีย ที่ผู้ใช้สามารถกด Like, Share และ Chat กับผู้ขายโดยตรงได้อีกด้วย” เทเรนซ์ กล่าว
เฟซบุ๊ก อินสตาแกรม หรือไลน์ ช่องทางเหล่านั้นไม่ได้ถูกพัฒนาเพื่อรองรับการซื้อ-ขายโดยเฉพาะ เนื่องจากไม่สามารถตอบโจทย์เรื่องความปลอดภัย ความมั่นใจของผู้ซื้อ-ขาย การชำระเงิน
Shappy โมบายล์แอพฯ พร้อมใช้เพื่อธุรกิจ
ขณะที่ฝั่งผู้ให้บริการเว็บไซต์สำเร็จรูปรายแรกในประเทศอย่าง เรดดี้แพลนเน็ต ได้ตอกย้ำการเป็นผู้นำตลาดออนไลน์ครบวงจร ด้วยการเปิดตัว Shappy บริการแอพพลิเคชั่นสำหรับธุรกิจ โดยมองว่า การมีแอพพลิเคชั่นเพื่อธุรกิจเป็นของตนเองจะช่วยเสริมสร้างการทำการตลาดดิจิทัลให้สมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น เนื่องจากปัจจุบันผู้บริโภคมีทางเลือกในการซื้อสินค้ามากขึ้น รวมทั้งการเติบโตและพัฒนาการอย่างรวดเร็วของเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ทำให้ผู้บริโภคมีข้อมูลประกอบการตัดสินใจซื้อสินค้าได้มากขึ้น ดังนั้นการนำเสนอข้อมูลสินค้าและบริการส่งตรงไปยังกลุ่มลูกค้าโดยตรงจึงเป็นสิ่งที่สำคัญ ในการทำการตลาดดิจิทัลในปัจจุบันที่มีการเติบโตของเทคโนโลยีหลากหลายแพลตฟอร์ม
ทรงยศ คันธมานนท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เรดดี้แพลนเน็ต จำกัด กล่าวว่า ในการพัฒนาแอพพลิเคชั่นสำหรับธุรกิจในปัจจุบันมีปัญหาและอุปสรรคมาก ไม่ว่าจะเป็นปัญหาการขาดแคลนผู้พัฒนาแอพฯ ค่าใช้จ่ายที่สูง การใช้เวลาในการพัฒนานาน หรือความยุ่งยากในการดูแลและการพัฒนาต่อเนื่อง ทำให้หลายธุรกิจไม่สามารถมีแอพฯ เป็นของตนเองได้ และหากธุรกิจต้องการประสบความสำเร็จจะต้องเร่งปรับตัวให้ทันต่อเทคโนโลยีและพฤติกรรมของผู้บริโภค ดังนั้น เรดดี้แพลนเน็ต จึงได้พัฒนาโมบายล์แอพพลิเคชั่นพร้อมใช้เพื่อธุรกิจในชื่อ Shappy ที่จะช่วยลดต้นทุนการพัฒนาแอพฯ และช่วยเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันในแบบที่ทุกธุรกิจสามารถเข้าถึงเเละใช้บริการได้
โดย Shappy เปิดให้บริการ 2 รูปแบบคือ Channeled App (ไม่มีค่าใช้จ่าย) และ Branded App (เพื่อผู้ประกอบการที่ต้องการมีแอพฯ พร้อมใช้สำหรับธุรกิจภายใต้เเบรนด์ของตนเอง) ด้วยการใช้งานที่ง่าย และฟังก์ชั่นที่ตอบโจทย์ความต้องการทางธุรกิจกว่า 10 ฟังก์ชั่น ที่จะช่วยในการสื่อสารทางการตลาดกับกลุ่มลูกค้า ช่วยเพิ่มยอดขายจากฐานลูกค้าเดิมของธุรกิจ อีกทั้งยังช่วยสร้างการรับรู้แบรนด์ของธุรกิจ และลดค่าใช้จ่ายในการสื่อสารกับกลุ่มลูกค้า ไม่ว่าจะเป็นฟังก์ชั่นที่สนับสนุนการทำโปรโมชั่นอย่าง ฟังก์ชั่น Flash Sales ระบบส่งข่าวสารโปรโมชั่นเพื่อกระตุ้นยอดขายในช่วงระยะเวลาที่กำหนด ฟังก์ชั่น Shootระบบประมูลสินค้าแบบใหม่ ซึ่งจะช่วยในการรักษาความสัมพันธ์กับลูกค้า (CRM) ด้วยฟังก์ชั่น Point ระบบสะสมแต้มแลกของรางวัล รวมไปถึงฟังก์ชั่น Poll ระบบสำรวจความคิดเห็นของลูกค้าอีกด้วย
“Shappy จะเข้ามาช่วยเสริมศักยภาพผู้ประกอบการให้สามารถทำการตลาดผ่านโมบายล์แอพพลิ-เคชั่นภายใต้เเบรนด์ตนเองได้ อย่างไรก็ตามคาดว่าภายในปี 2559 จะมีผู้ประกอบการให้ความสนใจและเข้ามาใช้งาน Shappy จำนวน 10,000 ราย และมียอดดาวน์โหลด 1 ล้านราย โดยเราจะพัฒนาฟังก์ชั่นใหม่ๆ ให้ตอบโจทย์ผู้ประกอบการในหลากหลายกลุ่มธุรกิจยิ่งขึ้นไป” ทรงยศ กล่าวทิ้งท้าย