Media Lab สนับสนุน Tech Startup และ Maker

เดนท์สุ มีเดีย ประเทศไทย เปิดตัว Dentsu Media Laboratory (DM Lab) สนับสนุนและพัฒนาเทคโนโลยี เพื่อนำประสบการณ์เชื่อมโยงระหว่างผู้ใช้กับแบรนด์ สร้างโอกาสใหม่ๆ ให้กับสตาร์ทอัพคนไทยร่วมงานกับพาร์ตเนอร์แต่ละประเทศในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก

นรสิทธิ์ สิทธิเวชวิจิตร Executive Director of Digital Business บริษัท เดนท์สุ มีเดีย (ประเทศไทย) จำกัด

นรสิทธิ์ สิทธิเวชวิจิตร Executive Director of Digital Business บริษัท เดนท์สุ มีเดีย (ประเทศไทย) จำกัด

DM Lab หน่วยงานใหม่
นรสิทธิ์ สิทธิเวชวิจิตร Executive Director of Digital Business บริษัท เดนท์สุ มีเดีย (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า DM Lab อยู่ในหน่วยงานของ Dentsu Media Thailand ซึ่งเอื้อต่อการเข้าถึงข้อมูลลูกค้าในทุกกลุ่มธุรกิจได้ง่ายขึ้น ส่งผลต่อการเลือกเทคโนโลยีมาปรับใช้ให้เกิดประโยชน์กับแบรนด์ โดยประกอบด้วย 2 ส่วน คือ Local Incubation และ Gateway to Global innovation ที่เริ่มขึ้นโดย Dentsu Aegis Network เป็นส่วนของพัฒนาเทคโนโลยีในประเทศญี่ปุ่นและสหรัฐอเมริกาที่เป็นบริษัทในเครือเดนท์สุเข้ามาปรับใช้ในตลาดเมืองไทย เช่น เทคโนโลยีด้าน Neuro Technology ที่คอยตรวจจับอารมณ์จากคลื่นสมองได้อีกด้วย ซึ่งถือว่าเป็นเทคโนโลยีที่ก้าวล้ำมากเพราะเป็นความร่วมมือระหว่าง Dentsu และ University of Tokyo’s Research Center for Advanced Science and Technology ส่วน Dentsu ที่สหรัฐอเมริกาจะทำงานกับ MIT ซึ่งมีเทคโนโลยีแตกต่างกันไป

“DM Lab เป็นแพลตฟอร์มที่ให้พาร์ตเนอร์ของเราสามารถเข้าถึงความรู้ ที่ปรึกษา และผู้เชี่ยวชาญด้านธุรกิจ สร้างช่องทางรายได้ใหม่ๆ และเข้าถึงเงินลงทุนผ่านทาง Dentsu Aegis Network ซึ่งเป็นทีมงานดูแลส่วนของการลงทุน หรือต่อยอดไปที่สำนักงานใหญ่ ประเทศญี่ปุ่นอย่าง Dentsu Ventures หรือ Dentsu Digital Holdings (DDH)”

สนับสนุนสตาร์ทอัพ
นรสิทธิ์ กล่าวต่อว่า ส่วนแรกคือ Local Incubation จะเป็นการสนับสนุนสตาร์ทอัพในประเทศไทย ซึ่งจะแบ่งเป็น 2 กลุ่มได้แก่ สตาร์ทอัพที่คัดเลือกจากเวทีต่างๆ มาร่วมมือในฐานะพาร์ตเนอร์ทางธุรกิจเมื่อเห็นถึงศักยภาพผลงานของสตาร์ทอัพที่จะมาจับคู่หรือต่อยอดให้กับแบรนด์ลูกค้าได้ และสตาร์ทอัพภายในที่ทำงานให้กับเดนท์สุโดยตรง ได้แก่ โปรแกรมเมอร์ และฝ่ายพัฒนาและผลิตโปรดักส์ ซึ่งรองรับให้กับลูกค้าแบรนด์ที่ดูแลสื่อให้และอยากได้โปรดักส์พิเศษออกมาสู่ตลาดเพื่อเจาะกลุ่มเป้าหมาย

“เดนท์สุจะทำการจับคู่ทางธุรกิจให้สตาร์ทอัพกับแบรนด์ได้เจอกัน เมื่อมีการพูดคุยตกลงทำงานร่วมกัน เดนท์สุจะทำหน้าที่เป็นโปรเจ็กต์เมเนเจอร์ในการดูแลงาน ซึ่งการทำงานรูปแบบนี้เหมือนกับเดนท์สุเป็น Accelerator ที่ค้นหาสตาร์ทอัพและดูแลช่วยเหลือให้พวกเขาสามารถมีเงินทุนเลี้ยงดูตัวเองและเติบโตขึ้น”

นรสิทธิ์ กล่าวต่อว่า ในบทบาท VC (Venture Capital) เดนท์สุมีหน่วยงานที่ประเทศญี่ปุ่น และมีสาขาดูแลจัดการด้านการลงทุนที่สิงคโปร์ด้วย ซึ่งบริษัทที่เดนท์สุเลือกลงทุนจะเป็นบริษัทสตาร์ทอัพที่มีความมั่นคงและรายได้เกิดขึ้นแล้ว เช่น Grab Taxi แต่ถ้าสตาร์ทอัพขนาดเล็กส่วนใหญ่จะเป็นแง่การเข้าร่วมในส่วนของหน่วยงาน Local Incubation มากกว่าที่ไม่ลงทุนให้ แต่ช่วยการหาลูกค้าในฐานะพาร์ตเนอร์ทางธุรกิจร่วมกัน

“จุดแข็งของเดนท์สุคือ เราใกล้ชิดกับลูกค้า มีฐานข้อมูลในแง่เชิงลึกของผู้บริโภค ฉะนั้นเราเป็นผู้เชี่ยวชาญว่าจะนำเทคโนโลยีของ Tech Startup หรือ Maker มาใช้ในแง่ธุรกิจได้อย่างไร”

e205

ฉบับที่ 205 เดือนมกราคม

NextGen ของโฆษณาบน Mobile

สร้างนวัตกรรมให้ลูกค้า
นรสิทธิ์ กล่าวต่อว่า โปรดักส์ที่เดนท์สุได้เข้าไปร่วมพัฒนาให้กับลูกค้าออกเป็นสินค้าใหม่ในการวางจำหน่าย เช่น RoBoHon ซึ่งเป็นหุ่นยนต์โทรศัพท์โดยสามารถใช้งานได้เหมือนโทรศัพท์มือถือแต่ความแตกต่างคือ หุ่นยนต์สามารถเคลื่อนไหวได้ ส่งเสียงแจ้งเตือนเจ้าของโทรศัพท์ เช่น อีเมลเข้าใหม่ หรือทำหน้าที่เป็นนาฬิกาปลุก เป็นต้น

นวัตกรรมชิ้นนี้เป็นการสร้างโทรศัพท์มือถือให้เป็นมากกว่าของใช้ในชีวิตประจำวัน แต่เป็นเพื่อนข้างกายที่ไว้คอยช่วยเหลือ เช่น RoBoHon สามารถดูแลเด็กภายในบ้านได้ เพราะสามารถกลายเป็นกล้องถ่ายทอดสดจากในห้องที่เด็กเล่นอยู่ให้พ่อแม่เห็นได้บนมือถืออีกเครื่อง หรือเมื่อมี Video Call เรียกเข้ามาสามารถกดตอบรับและตัวโทรศัพท์กลายเป็นโปรเจ็กเตอร์ฉายภาพขึ้นได้ทันที รวมถึงสามารถสั่งถ่ายภาพเซลฟี่ได้อีกด้วย

อีกโปรเจ็กต์ เดนท์สุ ร่วมกับ Softbank ผู้ให้บริการเครือข่ายมือถือในประเทศญี่ปุ่น โดยผลิตหุ่นยนต์ชื่อ Softbank’s Pepper เพื่อใช้ในการสื่อสารซึ่ง Softbank นำมาใช้เป็นพนักงานของบริษัทเพื่อสื่อสารกับลูกค้าและคนทั่วไป หุ่นยนต์ถูกออกแบบโปรแกรมให้สามารถโต้ตอบและเล่นมุขได้ด้วย ตอนนี้หุ่นยนต์ Pepper กลายเป็นเซเลบริตี้ที่รู้จักโด่งดังในญี่ปุ่น โดยได้มีการนำไปปรากฏที่ Flagship หรือสโตร์คอยให้บริการลูกค้ามีเด็กมาเล่นและถ่ายรูปหรือผู้ใหญ่มาสื่อสารพูดคุย

sp3-2

สตาร์ทอัพกับบริษัทโฆษณาต่อไปอาจแยกกันไม่ออก สิ่งหนึ่งที่สะท้อนให้เห็นชัดเจนตอนนี้คือ บริษัท Tech Startup ที่ใหญ่ที่สุดเช่น กูเกิล เฟซบุ๊ก รายได้หลักมาจากการโฆษณา

นอกจากนี้ เดนท์สุ ร่วมพัฒนากับแบรนด์สินค้าในการผลิตสื่อนอกบ้าน หรือ Out of Home Media (OHM) ได้แก่ การจับคู่ธุรกิจแบรนด์สินค้ากับผู้ให้บริการฟรีไวไฟในการทำโฆษณา เช่น มีการชมโฆษณาก่อนอนุญาตให้เข้าถึงอินเทอร์เน็ตไวไฟ หรือการร่วมมือกับสตาร์ทอัพที่มีเทคโนโลยีตรวจจับใบหน้าพัฒนาในการติดตั้ง Sensor ในการสร้าง Billboard อัจฉริยะขึ้น โดยสามารถแยกได้ว่าคนที่ผ่านไปมาหรือมองที่ป้ายเป็นเพศอะไรและ Billboard จะปรับเปลี่ยนคอนเทนต์โฆษณาไปตามเพศที่เดินผ่าน แต่ถ้ามีจำนวนคนเดินผ่านมามากทั้งชายหญิงระบบจะปรับกลายเป็น Random ทันที

สำหรับ Dentsu Media Thailand จะทำคัดเลือกเทคโนโลยีเข้ามาและปรับให้สามารถตอบโจทย์กับพฤติกรรมคนไทย เช่น การนำหุ่นยนต์ Pepper เข้ามาในเมืองไทยและพัฒนาโปรแกรมให้สามารถสื่อสารเป็นภาษาไทยเพื่อรองรับความต้องการของแบรนด์ในไทยที่ต้องการนำ Pepper ไปร่วมงาน ซึ่งตอนนี้ได้นำเข้าหุ่นยนต์ Pepper เข้ามาในเมืองไทยแล้ว ถือเป็นเซเลบริตี้ที่ได้รับความสนใจจากทั่วโลกในการเชิญไปแสดงในงานต่างๆ เช่น ญี่ปุ่นและสหรัฐอเมริกา และในปีนี้จะเกิดปรากฏการณ์นี้ในเมืองไทย

สตาร์ทอัพกับบริษัทโฆษณาต่อไปอาจแยกกันไม่ออก สิ่งหนึ่งที่สะท้อนให้เห็นชัดเจนตอนนี้คือ บริษัท Tech Startup ที่ใหญ่ที่สุด เช่น กูเกิล เฟสบุ๊ก รายได้หลักมาจากการโฆษณา ฉะนั้นบริษัทโฆษณากับบริษัทสตาร์ทอัพหรือบริษัทเทคโนโลยีจะไม่สามารถแยกกันไม่ออกแน่นอนในอนาคต

ในเมืองไทย ต้องยอมรับว่าสตาร์ทอัพไทยมีความสามารถ แต่ยังขาดผู้ให้การสนับสนุนอย่างเพียงพอเหมือนเช่นสหรัฐอเมริกา ที่นักลงทุนจำนวนมากหันมาลงทุนสนับสนุนในสตาร์ทอัพ จึงทำให้ตลาดสตาร์ทอัพในสหรัฐอเมริกาเติบโตอย่างสูงและมีมูลค่ามหาศาล สำหรับเมืองไทยการ Pitching แต่ละรอบมีสตาร์ทอัพได้รับความสนใจและมี VC ร่วมลงทุนแค่ 5 เปอร์เซ็นต์จากสตาร์ทอัพที่เข้าร่วมงานทั้งหมดเท่านั้น ซึ่งเป็นโจทย์สำหรับเดนท์สุว่าทำอย่างไรจะช่วยผลักดันให้สตาร์ทอัพคนไทยสามารถเติบโตเช่นเดียวกับตลาดต่างประเทศทั้งเรื่องจำนวนและเงินลงทุน เพราะมีผลต่อการเจริญเติบโตเศรษฐกิจของประเทศเติบโตอย่างมาก

นรสิทธิ์ กล่าวว่า ถ้าสตาร์ทอัพอยากเติบโตได้เร็วขึ้น ควรร่วมมือกับแบรนด์ในการพัฒนาโปรดักส์เพื่อทดสอบในตลาดจริงเพราะจะช่วยประหยัดเวลาและต้นทุนในการสร้างโปรดักส์โดยลำพัง ที่สำคัญมีลูกค้าแน่นอนพร้อมกับรายได้แทนที่จะรอเพื่อเข้าร่วม Pitching หรือการไป Raise Fund อย่างเดียว สำหรับโมเดลนี้ข้อดีคือ ตลาดจะทำหน้าที่ทดสอบโปรดักส์ให้เอง ดังนั้น สตาร์ทอัพสามารถผลิตโปรดักส์และออกขายในตลาดที่ต้องการทันที เพียงแต่ต้องหา Accelerator หรือเดนท์สุเพื่อช่วยเหลือในการแนะนำทำธุรกิจ

นรสิทธิ์ กล่าวต่อว่า ปีนี้จะเป็นปีที่ตื่นเต้นสำหรับตลาดเมืองไทย โดยเดนท์สุจะคัดเลือกนวัตกรรมใหม่เข้ามาตลาดและมีความน่าสนใจมากขึ้นทำให้วงการเอเยนซี่คึกคัก ขณะเดียวกัน อยากให้ DM Lab เป็นส่วนหนึ่งของ Eco System ที่ทำให้สตาร์ทอัพเมืองไทยเกิดขึ้นจริง ไม่ใช่แค่เทรนด์เท่านั้นที่เด็กจบใหม่จะต้องมาเป็นฟรีแลนซ์ หรืออยากลองทำสตาร์ทอัพ แต่จะพยายามให้องค์ความรู้และเปิดมุมมองให้เด็กรุ่นใหม่มองไประยะยาว เช่น การพัฒนาเทคโนโลยีที่ตอบโจทย์คนไทยและคนอื่นๆ นอกประเทศได้

สำหรับแบรนด์ที่ต้องการเข้าถึงกลุ่มลูกค้าควรผลิตโปรดักส์เฉพาะขึ้นมาเลย แต่แนะนำสตาร์ทอัพว่าควรมองถึงการสร้างโปรดักส์เผื่อการรองรับคนในวงกว้างได้ด้วย เช่น การร่วมสร้างหุ่นยนต์ Pepper ระหว่าง Dentsu กับ Softbank ซึ่งสามารถนำไปต่อยอดกับธุรกิจอื่นๆ ได้ หรือการเป็นสตาร์ทอัพในกลุ่ม FinTech การออกแบบโปรดักส์ควรตอบโจทย์ในวงกว้างรวมถึงสามารถร่วมทำงานกับทั้งธนาคารหรือค่ายมือถือได้ ที่สำคัญการไม่ควรนำโปรดักส์ไปทำงานผูกติดกับแบรนด์เพื่อจะได้ขยายธุรกิจไปในกลุ่มอื่นได้ด้วย

 

You may be interested in

Latest post from Facebook

Related Posts

ธนาคารกรุงเทพรับสมัครสตาร์ตอัพ เข้าโครงการ Bangkok Bank InnoHub Season 2

ธนาคารกรุงเทพร่วมกับบริษัท Nest ที่มากด้วยประสบการณ์ด้านสตาร์ทอัพกลุ่มฟินเทค ค้นหาธุรกิจสตาร์ทอัพ 5 กลุ่ม …